บทบรรณาธิการ
การทำงานของรัฐบาลที่น่าจับตาอย่างยิ่งจากนี้ไป คือการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และกระทรวงมหาดไทย
หลังจากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจระบุว่าจะบูรณาการทำงานทั้งด้านการผลิต การตลาดของสินค้าเกษตรให้เกิดประสิทธิภาพ ในรูปคณะกรรมการ สร้างระบบฐานข้อมูลกลาง รวมถึงระบบเตือนภัยล่วงหน้า
ด้วยเห็นว่าเกษตรกรเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสำหรับการผลักดันเศรษฐกิจรวมของประเทศ แต่ปัญหาที่ยังเผชิญอยู่คือต้นทุนสูง ต้องอาศัยการบริหารจัดการหลายด้าน
เมื่อรัฐมนตรีที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาใหม่มีทิศทางไปในทางเดียวกันแล้ว จึงคาดหวังถึงประสิทธิผลที่น่าจะตามมา
รัฐบาลกำหนดเป้าหมายว่า ปี 2561 ทุกภาคส่วนต้องกระจายรายได้ลงสู่รากหญ้าโดยเร่งผลักดันมาตรการเร่งด่วนเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับเกษตรกรระหว่างรอการเก็บเกี่ยว เพื่ออัดเงินลงสู่รากหญ้าให้เร็วที่สุด
ปัญหาภาคเกษตรที่สำคัญคือการบริหารจัดการข้อมูล ไม่มีเจ้าภาพที่ชัดเจน จึงได้ให้นโยบายไปว่าพืชเศรษฐกิจหลัก เช่น ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และผลไม้ จะต้องมีเจ้าภาพ
นอกจากนี้ยังจะต้องรวมกับกระทรวงการคลังจัดทำข้อมูลคนจน หรือผู้มีรายได้น้อย จำนวนเกือบ 4 ล้านคนเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาหนี้สินแก้ปัญหาเป็นรายครัวเรือน
พร้อมให้ความหวังว่าปีหน้าชีวิตเกษตรกรจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
หลังจากรายงานของธนาคารโลกสรุปสถานการณ์ความยากจนของไทย ว่าปัญหาเริ่มบรรเทา และเริ่มเติบโตอย่างยั่งยืน
แต่ขณะนี้สัดส่วนมูลค่าการเกษตรของไทยมีสัดส่วนราวร้อยละ 8-9 ของจีดีพีของประเทศ หากเทียบจำนวนเกษตรกรถือว่าน้อยมาก
หลังจากประเมินปัญหาแล้ว รัฐบาลเห็นว่าต้องเร่งอุดช่องว่างนี้ อีกทั้งยังต้องเชื่อมเกษตรกรเข้าสู่ตลาดโดยการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิตอล ขายของผ่านระบบออนไลน์ โดยให้ชุมชนที่เข้มแข็งเป็น หัวหอก
น่าติดตามว่าทรัพยากรบุคคลที่รัฐบาลมีอยู่ในมือคือข้าราชการนั้นจะตอบสนองเป้าหมายนี้ได้มากน้อยอย่างไร