นับจากวันที่ 13 ตุลาคม 2559 บรรดาประชาชนคนไทยค่อยๆ แปรความโศกเศร้าจากความรักและเทิดทูนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงครองราชย์มายาวนานถึง 7 ทศวรรษ ให้เป็นพลังของการมุ่งมั่นทำงานสานต่อพระราชปณิธานในทุกด้าน

ตั้งแต่งานศิลปศาสตร์ถึงวิทยาศาสตร์ งานจิตอาสาระดับชุมชนไปถึงงานระดับประเทศ การรักษาวัฒนธรรมประเพณีจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม

พร้อมกับการเตรียมงานที่ทรงความหมายทางจิตใจสูงสุด ในปี 2560 คืองานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชอย่างสมพระเกียรติ

การจัดสร้างพระเมรุมาศและอาคารประกอบที่ยิ่งใหญ่และ สื่อความหมายถึงความทรงจำของประชาชนที่มีต่อพระองค์ การบูรณะราชรถราชยาน ปรากฏความคืบหน้ามาเป็นระยะตลอด ปี 2560 กระทั่งทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์อย่างน่าภาคภูมิใจ

แสดงถึงความความร่วมมือร่วมใจของประชาชนทุกกลุ่ม ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ต่างต้องการน้อมถวายความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่สะสมเพิ่มพูนมาตลอด 70 ปีแห่งการครองราชย์

พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพจัดขึ้นระหว่างที่ 25- 29 ตุลาคม 2560 รวม 5 วัน ณ พระเมรุมาศที่เด่นตระหง่าน ขบวนพระบรมราชอิสริยยศเป็นไปตามโบราณราชประเพณี

วันที่ 25 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในการพระราชกุศลออกพระเมรุ โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และพระบรม วงศานุวงศ์ เฝ้าฯ รับเสด็จ

ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ประชาชนที่เดินทางมาปักหลักรอร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพโดยรอบสนามหลวง ต่างเฝ้าฯ รับเสด็จเต็มตลอดสองข้างทางด้วยความสงบเรียบร้อย บางรายนั่งสงบนิ่งตั้งจิตร่วมพระราชพิธีดังกล่าว

วันที่ 26 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ อัญเชิญพระบรมโกศพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชไป พระเมรุมาศ โดยมีริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ พระมหาพิชัยราชรถอัญเชิญพระบรมโกศจากหน้าวัดพระเชตุพนฯ ไปยังพระเมรุมาศอย่างอลังการยิ่งใหญ่สมพระเกียรติอย่างสูงสุด

เวลา 18.35 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศ์ จากพระที่นั่งทรงธรรม ไปยังพระเมรุมาศ ทรงวางเครื่องราชสักการะ พระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนดอกไม้จันทน์ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จากนั้นสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

สมเด็จพระราชาคณะ พระบรมวงศ์ พระประมุข ประมุข พระราชวงศ์และผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ ประธานองคมนตรี องคมนตรี นายกรัฐมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประธานศาลฎีกา ประธานองค์กรอิสระ คณะรัฐมนตรี คณะทูตานุทูต ผู้นําศาสนา ขึ้นถวายพระเพลิงพระบรมศพ

จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชปฏิสันถารกับพระประมุข พระราชวงศ์ และผู้แทนรัฐบาลต่างประเทศ แล้วเสด็จพระราช ดําเนินไปประทับรถยนต์พระที่นั่งด้านหลังพระที่นั่งทรงธรรมเสด็จพระราช ดําเนินกลับ

เวลา 22.00 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ไปยังพระที่นั่งทรงธรรม พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง เสด็จขึ้นพระเมรุมาศพร้อมด้วยพระบรมวงศ์ ถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้วเสด็จลงจากพระเมรุมาศ ประทับ ณ มุขหน้าพระที่นั่งทรงธรรม เมื่อเจ้าพนักงานปฏิบัติการถวายพระเพลิงพระบรมศพเสร็จสิ้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นพระเมรุมาศ ทรงทอดผ้าไตรที่พระจิตกาธานถวายพระสงฆ์ 10 รูป สดับปกรณ์ครั้งละ 1 รูป เสด็จพระราชดําเนินไปประทับรถยนต์พระที่นั่งด้านหลังพระที่นั่งทรงธรรม เสด็จพระราชดําเนินกลับ

เหล่าพสกนิกรทั่วไทยมืดฟ้ามัวดินหลั่งไหลทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รวมทั้งประชาชนชาวไทยในต่างประเทศทั่วโลก แสดงความอาลัย จงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ต่อแถวกันยาวสุดลูกหูลูกตาวางดอกไม้จันทน์ ณ พระเมรุมาศจำลองที่สร้างในสถานที่ต่างๆ ต่างน้อมใจร่วมพิธีแสดงความอาลัยอย่างสุดแสนอาลัยยิ่งถึงพระผู้เสด็จสู่ฟ้าเสวยสวรรค์

ต่อมาวันที่ 27 ตุลาคม ประชาชนเฝ้าฯรับเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ในพระราชพิธีเก็บพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชประมวลลงในพระโกศทองคำลงยาประดับเพชรรวม 6 พระโกศสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานภูษามาลาอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิลงจากพระเมรุมาศไปยังพระที่นั่งทรงธรรม เจ้าพนักงานภูษามาลาอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิประดิษฐานในบุษบกเหนือพระแท่นแว่นฟ้า ส่วนพระบรมราชสรีรางคาร เจ้าพนักงานจะได้ประมวลลงในพระผอบโลหะปิดทอง พักไว้บนพระเมรุมาศ

เมื่อเสร็จพระราชพิธี เจ้าหน้าที่ตั้งริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศริ้วขบวนที่ 4 เชิญพระที่นั่งราเชนทรยานสำหรับอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ และเทียบพระที่นั่งราเชนทรยานน้อยที่หน้าพระที่นั่งทรงธรรมสำหรับอัญเชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคาร

วันที่ 28 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดําเนินพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณ วรีนารีรัตน์ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระบรมมหาราชวัง ในการพระราชกุศลพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และพระบรมวงศานุวงศ์ เฝ้าฯรับเสด็จ

วันที่ 29 ตุลาคม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯพระราชพิธีอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิประดิษฐานพระวิมานบนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และพระราชพิธีอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคาร ไปบรรจุที่ฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธอังคีรส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และที่ฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร

ในการนี้ พันโทหญิง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงม้านำริ้วขบวนกองเกียรติยศทหารม้ารักษาพระองค์ เริ่มยาตราอัญเชิญพระบรมราชสรีรางคารออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรีด้วย ท่ามกลางความปลื้มปีติของประชาชนที่เฝ้ารับเสด็จตลอดเส้นทาง

ตลอดทั้ง 5 วัน ประชาชนหลั่งไหลเข้าสู่พื้นที่รอบๆ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ในกรุงเทพฯ กรําแดดกรําฝนในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างไม่ย่อท้อเพื่อส่งเสด็จครั้งสุดท้าย

นับเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์แห่งปี 2560 และผันสู่ความทรงจําที่จะตราตรึงอยู่ในหัวใจของประชาชนตลอดไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน