นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นประธานงาน วันสิทธิมนุษยชนสากล พร้อมกับปาฐกถา เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยละเลยปฏิญญาสากลเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
อีกทั้งระบุว่าให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ รวมถึงมีเจตนารมณ์และมุ่งมั่นส่งเสริมคุ้มครองอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นานาชาติ คนไทย เพื่อให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีความสงบสุข มีความรักสามัคคี
นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ประชาชนร่วมกันตระหนักรู้ถึงสิทธิ หน้าที่ เคารพกฎหมาย เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน โดยไม่ละเมิดสิทธิของ ผู้อื่น และระบุว่านอกจากรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีกฎหมายประกอบอื่นๆ ด้วย
โดยเน้นย้ำว่าต้องให้ความเคารพด้วย
ตามหลักการประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญย่อมถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศที่ใช้เป็นแนวทางในการปกครอง ซึ่งทุกฝ่าย จะต้องยึดถือให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
กฎหมายใดๆ จะบัญญัติหรือตราออกมา โดยไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ จึงมิอาจกระทำได้เลย
เช่นเดียวกับหมวด 3 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าบุคคลย่อมเสมอกันในทางกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันทั้งผู้ชายและผู้หญิง
การอ้างกฎหมายลูกเหนือกฎหมายหลัก จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลก
ตลอดเวลาเกือบจะ 4 ปีของรัฐบาลพิเศษนั้น ประเทศไทยถูกจับตามองเรื่องการละเมิดสิทธิและเสรีภาพ รวมถึงการเลือกปฏิบัติตามกฎหมายโดยไม่เท่าเทียมกันจากสังคมโลกมาโดยตลอด
ทั้งจากหน่วยงานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ตลอดจนฮิวแมนไรต์ วอตช์ และองค์กรสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ที่แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความถดถอยเกี่ยวกับมิติทาง ด้านนี้
การดำเนินนโยบายอย่างสอดคล้องกับสิ่งที่ประเทศไทยลงนามในปฏิญญาต่างๆ เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน และการไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพโดยกฎหมายและคำสั่งอื่นๆ ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก
ถ้าหากยังเป็นไปในทางตรงกันข้าม ก็จะเป็นดังเช่นกับทุกวันนี้