ทำไมพรรคประชาธิปัตย์และโดยเฉพาะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงต้องเล่นบทต่อสู้กับ “ระบอบทักษิณ”
ทั้งๆที่ห่างหายไปอย่างค่อนข้างยาวนาน
อย่างน้อยก็ในช่วงที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์”รัฐธรรมนูญ”หรือ”กฎหมายลูก”
ก็วางเป้าหมายไปยัง “คสช.” เป็นหลัก
แต่อยู่ๆพรรคประชาธิปัตย์และโดยเฉพาะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็กลายเป็นแผ่นเสียงตกร่องอีกครั้ง
เมื่อวนเวียนอยู่แต่กับ “ระบอบทักษิณ”
ท่าทีนี้ย่อมเป็นท่าทีใหม่(แม้ว่าจะเป็นเรื่องเก่า)ในบรรยากาศ แห่งการเดินหน้าไปตาม”โรดแม็ป”
เลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562
หากเป็นไปตามหลักการ 1 ยืนยันหัวหน้าพรรคคือนายกรัฐมนตรี 1 ยืนยันในการเปิดโปงโจมตีระบอบทักษิณ
นั่นเท่ากับเปิด 2 แนวรบขึ้นพร้อมกัน
แนวรบ 1 ต้องปะทะกับเจตจำนงและความต้องการอันแน่วแน่ของคสช.
เพราะธงที่คสช.ชู คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ขณะเดียวกัน แนวรบ 1 ต้องปะทะกับสภาพความเป็นจริงของพรรคเพื่อไทยอย่างมิอาจปฏิเสธได้
เพราะพรรคเพื่อไทยคืออวตารแห่ง ไทยรักไทย พลังประชาชน ย่อมมีสายสัมพันธ์ต่อเนื่องมาจากความสำเร็จในยุคของทักษิณอย่างเด่นชัด
“ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”
ยิ่งกว่านั้น นับแต่เลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 กระทั่งเดือนกรกฎาคม 2554 เป็นเวลา 10 ปีที่พรรคประชาธิปัตย์แพ้มาตลอด
นี่ย่อมเป็นศึกหนักอย่างยิ่งสำหรับพรรคประชาธิปัตย์
นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปจึงเป็นวินาทีแห่งการสัประยุทธ์อันจะทวี ความรุนแรงและแหลมคมเป็นลำดับ
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ สำหรับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
เพราะทางด้านคสช.พรรคประชาธิปัตย์ต้องเผชิญกับพรรคมวลมหาประชาชน
ขณะที่จะปล่อยมือจาก”พรรคเพื่อไทย”ก็ไม่ได้
ทำไมพรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องเปิด 2 แนวรบพร้อมกัน