การออกมา “วิพากษ์” ผลงาน 4 ปีรัฐบาลคสช.ของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนกับเป็นเรื่องปกติในทางการเมือง
แต่ก็ต้องยอมรับว่าตีไปยัง “จุดแข็ง”ที่สุด
1 ในเรื่องของการปฏิรูป ในเรื่องของการวางยุทธศาสตร์ และ 1 ซึ่งแหลมคมและอ่อนไหว คือในเรื่องของเศรษฐกิจ
แม้จะมีเสียงตอบโต้สวนกลับ
ไม่ว่าจะจาก พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ไม่ว่าจะจาก นายพรเพชร วิชิตชลชัย
กระนั้น ก็แผ่วเบาและขาดน้ำหนัก
เพราะเนื้อหาที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระหน่ำลงไปเป็นเนื้อหาหลักและมีความสำคัญชี้เป็นชี้ตายให้กับคสช.และรัฐบาล
ทำไมจึงเลือก 2 ประเด็นนี้
ต้องยอมรับว่า 2 ประเด็นที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เน้นอย่างชนิด เนื้อๆสัมพันธ์กับสถานการณ์ล่าสุด
1 สถานการณ์จัดตั้ง “พรรคคสช.”
และ 1 สถานการณ์พรรคคสช.เปิดยุทธการ “ดูดดาว”โดยพุ่งเป้าเข้าไปยังแกนนำ “กปปส.”ในพรรคประชาธิปัตย์
2 เรื่องนี้สัมพันธ์กับคน 2 คน 2 กลุ่ม
เรื่องปฏิรูปการเมืองสัมพันธ์กับคำขวัญในห้วงแห่ง “ชัตดาวน์”เมื่อเดือนมกราคม 2557
นั่นก็คือ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”
ใครก็รู้ว่า บุคคลใดมีบทบาทในการชูคำขวัญ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”ขึ้นสูงเด่นและเป็นอาวุธสำคัญในการปูทางและสร้างเงื่อนไขให้กับ “รัฐประหาร”
และเมื่อโยงเข้ามายัง “พลังดูดดาว”อันเกิดขึ้นในทำเนียบรัฐบาลห้วงเดือนเมษายน
บทบาทย่อมเป็นของ “รองนายกรัฐมนตรี”คนนั้น
ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มั่นใจได้เลยว่า
นับแต่นี้เป็นต้นไป 2 ประเด็นนี้จะได้รับการขยาย
ขยายออกอย่างเป็นรูปธรรมว่าเงินมากกว่า 1 ล้านล้านบาทสูญเสียไปอย่างไรกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ขยายออกอย่างเป็นรูปธรรมถึงความล้มเหลวในการปฏิรูป
เป็นพลังแค้นจากผลกระทบของ “พลังดูดดาว”โดยแท้
ดำเนินไปตามหลักแห่งฟิสิกส์ เมื่อมี “แรงกด”ย่อมมี “แรงต้าน”