แม้จะได้รับการหนุนเสริมจาก “คสช.” แม้จะสามารถแปร “ทำเนียบรัฐบาล” มาเป็นฐานในการก่อรูปของพรรคการเมือง
แต่เส้นทาง “พรรคคสช.”ยังต้องเหน็ดเหนื่อย
หากดูจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลเฉพาะพื้นที่ภาคอีสานของ 3 พรรคการเมือง
1 พรรคเพื่อไทย 1 พรรคประชาธิปัตย์ 1 พรรคภูมิใจไทย
ถึงจะอาศัยพื้นฐานจาก “ประชารัฐ” ประสานเข้ากับ “ไทยนิยมยั่งยืน” ก็ยังเหนื่อย
เพราะร้อยละ 90 เป็นพื้นที่ของ “พรรคเพื่อไทย”
เพราะที่เหลืออีกร้อยละ 10 แบ่งกันไประหว่างพรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคภูมิใจไทย
แล้ว”พรรคคสช.”จะแทรกเข้าไปตรงไหน
ไม่เพียงแต่ “พรรคทหาร” จะให้ความสนใจต่อพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ใหญ่
หากเสียงของ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ก็ไม่ควรมองข้าม
ยิ่งอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ คือ นายอิสระ สมชัย ซึ่งเคยเป็นแกนนำกปปส. ยิ่งต้องสนใจ
ขณะที่อดีตส.ส.พรรคภูมิใจไทยก็ถือว่าใกล้ชิด “พรรคทหาร”
แม้อดีตส.ส.เหล่านี้จะระบุชื่อพรรคการเมืองพรรคหนึ่งขึ้นมาแต่จะขอตัดชื่อพรรคออกและเปลี่ยนเป็น “พรรคทหาร”ก็แล้วกัน
ความสงสัยจากพรรคการเมืองคู่แข่งก็คือ
“พรรคคสช.ผมไม่รู้ว่าเขามีจุดขายอะไรมานำเสนอให้คนที่สนใจการเมืองเข้าไปร่วมหรือให้ประชาชนตัดสินใจ ความเป็นพรรคทหารหรือเปล่า หรือการหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เขาก็ต้องเอาจุดนี้ไปขายอย่างเดียว แล้วคนอีสานจะคิดอย่างไร”
คำถามหลังนี้แหละคมแหลมอย่างที่สุด
ไม่เพียงแต่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรอก ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้และในจุดกลางของกทม.
“พรรคทหาร” ก็ต้องตอบ “คำถาม”มากมาย
คำถาม 1 ย่อมสัมพันธ์กับเรื่อง “รัฐประหาร” คำถาม 1 ย่อมสัมพันธ์กับความสำเร็จตลอด 4 ปีที่คสช.เข้ามาบริหารบ้านเมืองว่าเป็นอย่างไร
แค่นี้ก็เหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ลง “เลือกตั้ง”แล้ว
ไม่ว่าจะใช้ชื่อ “พรรคคสช.” ไม่ว่าจะใช้ชื่อ “พรรคทหาร”