แล้วกรณี “เงินทอน” อันมีการลากโยงไปยัง 5 พระเถระก็ทำท่าว่าอาจดำเนินไปในแบบ
ยัก”ตื้น”ติดกึก ยัก”ลึก”ติดกัก
หากจับอาการจากเสียงสำทับด้วยความห่วงใยจาก พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี
และภาวะชะงักงันในการแจ้งข้อกล่าวหากล่าวโทษ
ยิ่งเส้นสนกลในภายในที่ประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 20 เมษายน ปรากฏและเผยแสดงต่อภายนอกมากมายเพียงใด ยิ่งเข้าใจในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ
โดยเฉพาะคำแถลงที่มิได้เป็นไปตามความเป็นจริงแห่งมติจากที่ประชุมของผู้อำนวยการ พศ.
แล้วภาพของหลายคดีอื้อฉาวในอดีตก็ย้อนกลับมา
1 คือคดีว่าด้วย”รถหรู” อันเกี่ยวพันกับวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ อย่างแนบแน่น
เริ่มขึ้นด้วยความอึกทึก ครึกโครม
แต่สุดท้ายก็ค่อยๆเงียบหาย กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปอย่างแทบจะสิ้นเชิง
1 คือคดีอันเกี่ยวกับ”วัดพระธรรมกาย”
อาจส่งผลสะเทือนให้มีการถอดสมณศักดิ์เป้าหมายสำคัญอย่างน้อยก็ 2 รูปแห่งวัดพระธรรมกาย
แต่ลองทบทวนไปยัง 500 กว่าคดีเป็นอย่างไรบ้าง
สภาพก็ดำเนินไปคล้ายๆกับ”คดีรถหรู”ของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
เริ่มอย่างอึกทึก แต่กลับจบลงอย่างเงียบๆ
เท่ากับเป็นกระบวนท่าของการจัดการกับคดีบางคดีอันออกมาจากบางสำนักของกระบวนการยุติธรรม
เป้าหมายเป็น”การเมือง” มิได้เป็น “คดีความ”แท้จริง
กล่าวสำหรับสถานการณ์การแจ้งความกล่าวโทษต่อ 5 พระเถระว่าพัวพันกับการทุจริตใน”คดีเงินทอน”
ทั้งๆที่เป็นเรื่อง “อาบัติ” เป็นเรื่อง”ปาราชิก”
แต่แปลกยิ่งนักที่มิได้มีการนำเข้าไปหารือภายใน”มหาเถร สมาคม” อย่างเอาจริงเอาจังจึงกลายเป็นความกังขาของ”มหาเถรสมาคม”
เป็นความกังขาต่อการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติโดยตรง