‘เอพี’ เปิดตัวบ้านอัลตร้าลักซ์ชัวรี่ โครงการใหม่‘พาลาซโซ่ ศรีนครินทร์’ ราคาเริ่มต้น 29-60 ล้านบาท จำนวน 52 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการรวม 30.1 ไร่

วิทการ จันทวิมล

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมการแข่งขันในตลาดบ้านหรูราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป รอบทำเลถนนศรีนครินทร์ ปัจจุบันมี 11 โครงการ ซี่งเปิดขายตั้งแต่ปี 2558-2561 รวมแล้ว 857 ยูนิต อัตราการขายล่าสุดอยู่ที่ 44% ไม่รวมโครงการเดอะ พาลาซโซ่ ศรีนครินทร์ ของ เอพี ไทยแลนด์ ที่อยู่ระหว่างเตรียมเปิดการขายจำนวน 52 ยูนิต บนเนื้อที่โครงการรวม 30.1 ไร่ ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวสไตล์อเมริกัน นีโอ คลาสสิค ราคาขายเริ่มต้น 29-60 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 1,750 ล้านบาท

บ้านในระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรี่ วิธีการขายจะเป็นลักษณะทยอยขายเรื่อยๆ และเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง ก็จะการขายจะไปอย่างรวดเร็ว โดยในส่วนของการวางแผนการตลาดของบริษัท จะเจาะกลุ่มฐานลูกค้าเวลธ์ ที่มีเงินฝากหรือเงินลงทุนระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไปกับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ซึ่งบางส่วนจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ เป็นหนึ่งในทางเลือกของการลงทุน

ขณะเดียวกันเทียบจากการขายในอดีต พบว่าฐานลูกค้าที่ซื้อบ้านและคอนโด ราคาเกิน 30 ล้านบาทขึ้นไป จะเป็นการซื้อด้วยเงินสด และหรือหากกู้เงินธนาคารมาซื้อก็ใช้สัดส่วนเงินกู้ไม่ถึง 80% ดังนั้นเชื่อว่าเกณฑ์ LTV ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย จะไม่กระทบฐานลูกค้ากลุ่มนี้

“ฐานลูกค้าของเอพี ส่วนใหญ่ 80% อยู่ในตลาดกลาง-บน ราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนอัลตร้าลักซ์ชัวรี่มีเพียง 2-3% และที่เหลือเป็นลูกค้าบ้าน-คอนโด ระดับราคา 2 ล้านบาท อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาธนาคารที่ปล่อยกู้ให้กับลูกค้าที่กู้ซื้อบ้านในวงเงินกู้ตามหน้าสัญญาซื้อขายอยู่แล้ว แต่หลักๆ ที่มีผลมากคือ ธนาคารปล่อยกู้วงเงินประกันสินเชื่อ ซึ่งระยะหลังธนาคารพยายสมให้ลูกค้าทำประกันสินเชื่อด้วยและที่เป็นประเด็นมากๆ คือการปล่อยกู้สินเชื่อบุคคลด้วย”

นายวิทการ กล่าวและว่าอย่างไรก็ตาม หากเกณฑ์ LTV ใหม่ของ ธปท.มีผลใช้ปี ม.ค. 2562 ก็ยอมรับว่าทำให้ผู้ประกอบการทำงานได้ยากขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้ตลาดเติบโตได้แบบยั่งยืน

สำหรับยอดขาย 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัททำได้แล้ว 3.07 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็น 77% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 3.98 หมื่นล้านบาท และช่วงไตรมาส 4 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 18 โครงการ มูลค่ารวม 3.12 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่า 7.84 พันล้านบาท และ ทาวน์โฮม 10 โครงการ มูลค่า 9.39 พันล้านบาท พร้อมโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา อีกกว่า 90 โครงการ

ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้า ขณะที่ยอดขายรอโอนล่าสุดของบริษัทมีมูลค่าสูงถึง 5.52 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 4.52 หมื่นล้านบาท จะทยอยรับรู้จนถึงปี 2566 ทำให้ปีนี้มั่นใจว่ารายได้บริษัทจะเป็นไปตามตามเป้าหมายที่ 2.8 หมื่นล้านบาท ส่วนปีหน้ายังเชื่อว่าการเติบโตจะไม่น้อยกว่าปีนี้ ด้วยโครงการที่รอการพัฒนาอีกจำนวนมาก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน