นายชลาลักษณ์ บุนนาค กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามสินธร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับ เคมปินสกี้ แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก เพื่อนำบริการระดับโลกมาบริหารโครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัย ภายใต้ชื่อ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท สินธร เคมปินสกี้ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแห่งที่ 4 จากทั้งหมด 5 อาคาร และเป็นหนึ่งในโครงการสินธร วิลเลจ บนพื้นที่รวม 56 ไร่ บริเวณซอยหลังสวน ถนนชิดลม ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 55,000 ล้านบาท (ไม่รวมราคาที่ดิน)

โดยโครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท สินธร เคมปินสกี้ จะอยู่บนที่ดิน 3 ไร่ สิทธิการเช่า 30 ปี และสามารถต่อสัญญาเพิ่มเติมได้อีก 30 ปี เป็นอาคารสูง 34 ชั้น ประกอบด้วยห้องชุดรวม 225 ยูนิต มีตั้งแต่ 1-4 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้นที่ 50-500 ตร.ม. ราคาขายเฉลี่ยที่ 2.5 แสนบาท/ตร.ม. หรือราคา หรือราคาขายต่อยูนิตตั้งแต่กว่า 10 ล้านบาท และสูงสุดที่ 150 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าโครงการรวม 9,000 ล้านบาท โดยงานก่อสร้างได้คืบหน้ามาแล้ว 2 ปี และจะแล้วเสร็จพร้อมโอนในเดือนต.ค.2562

“ตั้งแต่เดือนก.ค.ปีหน้าเป็นต้นไป บริเวณสินธรวิลเลจ จะเป็นเมืองใหม่อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เนื่องจากโครงการนี้ได้เริ่มทยอยก่อสร้างมาตั้งแต่ 6-7 ปีที่แล้ว ในขณะที่ปัจจุบันที่ดินที่ซื้อขายเปลี่ยนมือกัน (ฟรีโฮลด์) บริเวณถนนชิดลม-เพลินจิต ปรับตัวสูงขึ้น โดยอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท/ตร.ว. ทำให้มีโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่เข้าสู่ตลาดไม่มากนัก ขณะที่ตลาดที่พักอาศัยแบบสิทธิการเช่าหรือลีสโฮลด์ จะมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยจะถูกกว่าฟรีโฮลด์ 30-40%”นายชลาลักษณ์ กล่าว

ด้านนายสืบพงษ์ เกียรติวิศาลชัย ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท สยามสินธร จำกัด กล่าวแสดงความคิดเห็นกรณีพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่จะมีผลบังคับใช้ปี 2563 โดยส่วนตัวแล้วมอง ว่า โดยผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ต้องยอมรับว่าการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม หัวใจคือสำคัญคือ ทำเลที่ตั้งโครงการ ซึ่งในฐานะผู้ประกอบการก็ต้องมีการซื้อที่ดินสะสมเพื่อรอการพัฒนาโครงการอยู่แล้ว ดังนั้นยังเชื่อว่ายุทธศาสตร์ ทิศทางและแผนธุรกิจของบริษัท มีความสำคัญมมากกว่าที่จะกังวลเรื่องภาษีที่ดิน เนื่องจากการพัฒนาโครงการมีต้นทุนหลายส่วน และยังมีภาษีอีกหลายอย่าง เพียงแต่มีอยู่มานานแล้ว ทุกคนก็ไม่รู้สึกเดือดร้อน

ซึ่งในส่วนของภาษีที่ดินฯ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่เป็นอีกหนึ่งต้นทุนที่เพิ่งเข้ามา หลายคนอาจกังวลว่าการมีผลบังคับใช้ของภาษีที่ดินฯ อาจเร่งรัดให้เกิดการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ให้เกิดเร็วขึ้น แต่ไม่มีนัยสำคัญ เนื่องจากบางโครงการอยู่ในแผนการลงทุนอยู่แล้ว ที่ดินบางแปลงซื้อมาเพื่อรอศักยภาพ ก็ต้องยอมรับว่าถ้าที่ดินที่ซื้อมามีศักยภาพแล้ว ราคาซื้อขายเปลี่ยนมือก็แพงตามไปด้วย ซึ่งผู้ประกอบการบางรายก็อาจสะสมที่ดินเพื่อมองไปอีก 5 ปีข้างหน้า ก็จะยินดีที่จะยอมเสียภาษีที่ดินฯ เพราะ ณ วันที่นำที่ดินมาพัฒนาโครงการ ก็จะตอบรับกับยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ดินของบริษัท ดังนั้นมองว่าภาษีที่ดินฯ ไม่น่าจะมีผลกับผู้ประกอบการพัฒนาที่ดิน แต่จะมีผลกับเจ้าของที่ดิน คนที่เป็นตระกูลเก่า มีที่ดินมรดกตกทอด อาจจะต้องปล่อยที่ดินบางแปลงออกสู่ตลาด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน