ครม.ปรับเกณฑ์บ้านล้านหลังใหม่คนเงินเดือนไม่ถึง 2.5 หมื่นบาทกู้ซื้อบ้านได้มากขึ้น พร้อมขอชดเชยดอกเบี้ยเพิ่ม 789.66 ล้านบาท

ครม.ปรับบ้านล้านหลังใหม่ – นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ปรับกรอบการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐ หรือ โครงการบ้านล้านหลังใหม่ เพื่อช่วยให้คนที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 25,000 บาทเข้ามาร่วมโครงการได้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ได้เปิดให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยมาจองสิทธิแล้วปรากฎว่า มีผู้มายื่นขอใช้สิทธิจำนวนมาก จึงต้องปรับกรอบวงเงินของโครงการใหม่ พร้อมทั้งขอเงินชดเชยดอกเบี้ยของโครงการที่ต้องเพิ่มขึ้นด้วย ภายใต้กรอบวงเงินทั้งโครงการไว้ที่ 50,000 ล้านบาท ที่ครม. ได้อนุมัติโครงการและกรอบวงเงินไปแล้ว

ดังนั้นกระทรวงการคลังเสนอให้ครม. ปรับกรอบการช่วยเหลือกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 25,000 บาทใหม่ โดยช่วยกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท ภายใต้วงเงิน 40,000 ล้านบาท และคนที่มีรายได้เกินเดือนละ 25,000 บาท วงเงิน 10,000 ล้านบาท ซึ่งการปรับวงเงินดังกล่าวยังคงอยู่ภายใต้กรอบวงเงินเดิม 50,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากมีการปรับวงเงินช่วยเหลือช่วยกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 25,000 บาทมากขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะได้รับการช่วยเหลือด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี ทำให้รัฐต้องชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น จึงเสนอขอให้ที่ประชุมครม. เห็นชอบให้ชดเชยดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก จำนวน 789.66 ล้านบาท

จากเดิมโครงการนี้จะช่วยกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท วงเงิน 20,000 ล้านบาท และคนที่มีรายได้เกินเดือนละ 25,000 บาท วงเงิน 30,000 ล้านบาท แต่เมื่อให้คนมายื่นจองสิทธิ พบว่า มีประชาชนให้ความสนใจยื่นจองสิทธิ รวมเป็นเงินกว่า 127,102 ล้านบาท สูงเกินกว่ากรอบวงเงินสินเชื่อที่ ธอส. ได้กำหนดไว้จำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท มีผู้ยื่นจองสิทธิ จำนวน 113,064 ล้านบาท ขณะที่ยอดจองสินเชื่อสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้เกินเดือนละ 25,000 บาท มีผู้ยื่นจองสิทธิเพียง จำนวน 14,038 ล้านบาท จึงต้องปรับกรอบวงเงินใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีรายได้น้อยที่ยื่นของสินเชื่อบ้านล้านหลังไว้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ในกรอบการดำเนินโครงการดังกล่าว ทางกระทรวงการคลังยังได้มีการปรับกรอบระยะเวลาของโครงการไว้ จากเดิมที่กำหนดให้สิ้นสุดการทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2562 เปลี่ยนเป็นสิ้นสุดการทำนิติกรรม เมื่อธอส.ให้สินเชื่อเต็มตามกรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท โดยกำหนดไว้ไม่เกินวันที่ 30 ธ.ค. 2564

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน