นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การกลับมาบริหารโนเบิลภายหลังลาออกไป 7 ปี และปัจจุบันมีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 23.3% พร้อมกับได้ 2 ผู้ถือหุ้นใหม่ ฟัลครัม-โกลบอล แคปิตอล ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จากฮ่องกง ที่มีนายแฟรงค์ เหลียง เป็นผู้บริหาร และได้มีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไปแล้วทั้ง สหราชอาณาจักร จีน ญี่ปุ่น และประเทศไทย ได้เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 24.9% โดยจะเข้ามาช่วยทำให้การขายอสังหาริมทรัพย์ของโนเบิล ทั้งคอนโดมิเนียม และโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งในอนาคตบริษัทจะทำให้รูปแบบเช่าระยะยาว เพื่อเปิดทางให้ต่างชาติสามารถซื้อลงทุนได้

นอกจากนี้ ยังได้ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSG กลุ่มบริษัทบีทีเอส เป็นผู้ให้บริการระบบขนส่งมวลชนรายใหญ่ ที่ในอนาคตจะบริหารกว่า 100 สถานี รวมถึงยังมีธุรกิจสื่อโฆษณา และอสังหาริมทรัพย์ เข้ามาถือหุ้นในโนเบิลด้วยสัดส่วน 9.9% ด้วย ซึ่งจะเป็นจุดที่สอดคล้องกับนโยบายใหม่ภายใต้โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ของบริษัท ที่จากนี้จะไม่เน้นลงทุนคอนโดมิเนียมในกลางกรุงเทพฯ เหมือนในอดีตที่ 90% จะอยู่ในทำเลรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีเอกมัย-สถานีอารีย์ เท่านั้น แต่จะขยายขอบเขตของทำเลไปตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่บีทีเอสได้สัมปทานด้วย เนื่องจากในปัจจุบันนี้พบว่านักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ไม่จำกัดการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนเฉพาะทำเลใจกลางกรุงเทพฯเท่านั้น แต่พบว่าในทำเลแจ้งวัฒนะก็เข้าไปซื้อลงทุนแล้ว เนื่องจากชาวจีนเข้าใจโมเดลการเติบโตของราคาอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างดี ทำให้บริษัทได้ตลาดจีนเข้ามาช่วยซื้ออีกทางหนึ่ง โดยมีฟัลครัมฯ เป็นผู้ช่วยทำตลาดให้ซึ่งปัจจุบันเริ่มเจาะไปยังเมืองรองลำดับ 3 ของจีนซึ่งมีประชากรแต่ละเมืองไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน และสนใจลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันพบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับหนึ่งที่ชาวจีนสนใจเข้ามาลงทุน

พร้อมกันนี้บริษัทได้วางแผน 3 ปี (2562-2564) รายได้รวม 30,000 ล้านบาท หรือปีละ 10,000 ล้านบาท ภายใต้นโยบายการเปิดตัวโครงการใหม่ปีละ 4-5 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท พร้อมงบลงทุนซื้อที่ดินปีละ 3,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในปีนี้เตรียมเปิดคอนโดมิเนียม 4-5 โครงการ โดยเน้นทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ระดับราคาตร.ม. 2-2.5 แสนบาท ซึ่งนโยบายการกำหนดราคาโดยจะให้ความสำคัญด้านความสามารถในการทำกำไรลดลงจาก 20% เหลือ 17-18% เพื่อให้ขายสินค้าได้คล่องขึ้น และหันไปเน้นการบริหารอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ให้เพิ่มขึ้นจาก 15% เป็น 28-35% นอกจากนี้จะระบายสต็อกคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จที่มีอยู่กว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันปลอดหนี้กับธนาคารทั้งหมด รวมถึงยังมีแผนขายอาคารให้เช่าทั้งสำนักงาน และพื้นค้าปลีก ตามคอนโดมิเนียมใน 4 โครงการ มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินกลับมาลงทุนใหม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน