เข็มเหล็กเล็งระดมทุนรุกงานฐานรากมูลค่าแสนล้านต่อปี

นายประเสริฐ ธรรมมนุญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เข็มเหล็ก จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเข็มเหล็กสำหรับงานก่อสร้างฐานราก พร้อมให้บริการแบบเทิร์นคีย์ โดยแผนการดำเนินงานในปี 2563 เตรียมนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ ด้วยมูลค่าการระดมทุน 200-300 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ทั้งด้านการผลิตขยายการติดตั้งเครื่องจักร และ การทำตลาดเพิ่มจำนวนตัวแทนขายของบริษัท สำหรับรองรับการขยายตัวของงานก่อสร้างฐานรากประเภท Lightweight Foundation ที่ใช้ระบบเสาเข็มเหล็ก โดยเป็นนวัตกรรมที่บริษัทคิดค้น วิจัยและพัฒนาจนได้สิทธิบัตรแต่เพียงผู้เดียว พร้อมกับดำเนินธุรกิจมากว่า 10 ปี โดยสามารถตอบโจทย์งานก่อสร้างฐานรากโรงผลิตไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม เสาไฟฟ้า ป้าย รั้ว ระเบียงบ้าน หลังคา ค้ำยันต้นไม้ ตลอดจนงานฐานรากและงานต่อเติมบ้าน 3-4 ชั้น โดยไม่กระทบกระเทือนงานก่อสร้างรอบข้าง และตอบโจทย์ด้านความรวดเร็วได้ถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับการก่อสร้างงานฐานรากในรูปแบบเดิมๆ ที่ใช้เสาเข็มปูนและไม้ รวมถึงใช้แรงงานคนในการติดตั้งเพียง 3 คน

โดยปัจจุบันงานก่อสร้างฐานราก ประเภท Lightweight Foundation มีมูลค่าประมาณแสนล้านบาทต่อปี ซึ่งกว่า 90% เป็นตลาดของเสาเข็มปูน ทำให้บริษัทเห็นโอกาสในการขยายตลาดของเสาเข็มเหล็กเพื่อเข้าไปทดแทนตลาดดังกล่าว ประกอบกับกว่า 10 ปีที่ผ่านมาฐานลูกค้าหลักของบริษัทเป็นโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม โดยสถิติสูงสุดเคยสร้างได้ถึง 6,000 เสา ภายใน 1 วัน หรือเฉลี่ย 30 นาทีต่อ 1 เสา นอกจากนี้ ฐานลูกค้าปั๊มน้ำมันรายใหญ่ อาทิ ปตท. เชลล์ พีที ตลอดจนโครงการอสังหาริมทรัพย์ อาทิ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซึ่งเบื้องต้นยังเป็นงานค้ำต้นไม้ และโรงจอดรถ

โดยในปีหน้าบริษัทวางแผนขยายศูนย์บริการ (ฮับ) ให้ครบ 7-8 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคของไทย จากปัจจุบันมี 2 แห่งในกรุงเทพฯ และ เชียงใหม่ ขณะที่มีโรงงานผลิตเสาเข็มเหล็ก 2 แห่ง ในจ.ฉะเชิงเทราและระยอง กำลังการผลิตรวม 10,000 เสาต่อวัน โดยที่ปัจจุบันยังใช้กำลังการผลิตเพียง 3,000-4,000 เสาต่อวัน ซึ่งผลการดำเนินงานเฉพาะธุรกิจก่อสร้างฐานรากในปี 2562 ที่ 150 ล้านบาท เติบโตจากระดับ 10 ล้านบาทในปีที่แล้ว หรือเติบโตถึง 16 เท่า ส่วนในปีหน้าตั้งเป้ารายได้เพิ่มกว่าเท่าตัวหรือ 300-400 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทยังมีธุรกิจไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม กำลังการผลิต 1,500 เมกะวัตต์ และรายได้จากธุรกิจออกแบบ จัดซื้อ และการก่อสร้าง Engineering Procurement and Construction (EPC) อีกประมาณ 300 ล้านบาท