“นทธี ศศิวิมล”

เสียงแมลงกลางคืนร้องระงมไปทั่ว บรรยากาศหลังฝนตกยังคงทิ้งไอร้อนชื้นให้รู้สึกเหนอะหนะ ไม่สบายตัว กลิ่นหญ้าและพื้นปูนเปียกๆโชยขึ้นมาฉุนจมูก

แมลงปอตัวหนึ่งบินชนหลอดไฟนีออนที่อยู่เหนือหัวฉันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนมันกำลังจะเป็นบ้า…

ฉันก็เหมือนกัน…

กำลังจะเป็นบ้า…บ้าเพราะความเบื่อ

ฉันหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าประตูบ้านของตัวเองได้พักหนึ่งแล้ว รู้ตั้งแต่ยังไม่เปิดประตูว่า พอเปิดประตูบ้านเข้าไปภาพที่เห็นทุกวันจนชินตาก็จะปรากฏให้เห็นอีกครั้ง

…และคงจะเป็นต่อไปอีกเรื่อยๆ ตราบใดที่ฉันยังยอมให้มันเป็นอยู่แบบนี้

เราแต่งงานกันมาสิบสองปี และตั้งแต่วัน แรกจนถึงวันนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย…

เสียงลูกบิดประตูดังแกร๊กเบาๆ ฉันพนันได้เลยว่าต่อให้ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นขโมย หรือคนร้ายเป็นคนที่ไขประตูเข้ามาสามีฉันก็คงนอนรอโดนเชือดอยู่ที่โซฟาตัวเดิมหน้าจอทีวีสุดที่รักของเขาโดยไม่ยอมลุกขึ้นมาดูหรือสนใจสักนิด ว่าใครกำลังเข้ามาในบ้าน

“กินข้าวมารึยัง ผมทำข้าวต้มไก่ไว้ในหม้อน่ะ หิวก็กินเลยนะผมกินแล้ว” เขาพูดโดยไม่ขยับตัวสักนิด

รายการฟุตบอลถ่ายทอดสดจากต่างประเทศส่งเสียงหึ่งๆ น่ารำคาญหูเช่นเคย ไม่เคยเข้าใจได้เลยว่าไอ้เกมไล่แย่งลูกบอลงี่เง่านี่มันสนุกตรงไหน

ฉันเดินไปหยิบรีโมต ปิดโทรทัศน์…

เขาเงยหน้ามองฉันด้วยสายตาว่างเปล่าที่คาด เดาได้…

ฉันโยนรีโมตออกไปนอกประตูหน้าบ้านที่เปิดทิ้งไว้แล้วยืนจ้องหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง

สายตาของเขาเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปหารีโมตที่สนามหญ้าหน้าบ้าน เดินกลับเข้ามาที่โซฟาตัวเดิม เอนตัวนอนลงแล้วกดปุ่มเปิดทีวีดูบอลต่อหน้าตาเฉย

ฉันโกรธจนตัวสั่น ที่เขาทำทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจไยดีว่าฉันจะรู้สึกอย่างไรแต่ก็พยายามระงับอารมณ์ไม่ระเบิดกรี๊ดออกไป แล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอนตัวเองอย่างจนใจ

คืนนั้นฉันนอนคิดว่านี่มันเกินจะทนแล้ว เขาทำตัวน่าเบื่อซ้ำซากอยู่แบบนี้ได้ยังไงทุกวันไม่คิดแม้แต่จะก้าวเท้าออกนอกบ้านไปโดนแดดโดนลมบ้าง เรื่องกิจการงานนอกบ้านและเรื่องที่ต้องติดต่อกับคนอื่นก็ยกให้ฉันจัดการคนเดียวหมด แย่กว่าคือเวลาค่ำหรือกลางคืนเขาก็เอาแต่ดูบอล การที่ฉันจะแชร์ชีวิตร่วมกับเขาได้มีอยู่ทางเดียวคือต้องลงมานั่งดูบอลกับเขาด้วย ทั้งที่ไม่ชอบ ดูไม่รู้เรื่องและยังไม่เคยสนใจอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลเลยมาแต่ไหนแต่ไร

คืนนั้นฉันเข้านอนราวสี่ทุ่มเพราะเหนื่อยและง่วงมาก แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเวลาประมาณตีสอง เพราะได้ยินเสียงกุกกักแปลกๆ ดังอยู่แถวหน้าห้อง

เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของสามีแน่นอน เพราะถ้าเขาจะเข้าห้องนอนของตัวเองย่อมเปิดเข้ามาเองได้ง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องย่องหรือแอบทำอะไรแบบนี้ซึ่งก็ไม่ใช่นิสัยของเขาด้วย

ฉันค่อยๆ ลุกขึ้น รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี กลัวจะเป็นโจรผู้ร้ายที่แอบปีนเข้ามาทางหน้าต่าง จะเปิดประตูออกไปตามสามีตอนนี้ก็ไม่กล้าเพราะไม่รู้ว่าหน้าประตูมีอะไร

พยายามมองหาโทรศัพท์มือถือกะจะไลน์ไปที่เครื่องสามี หรือไม่ก็โทร.เข้า ก็พบวางอยู่ที่พื้นตรงปลั๊กไฟข้างประตูห้อง จำได้ว่าเสียบชาร์จแบตฯ อยู่เพราะใช้จนแบตฯ หมดคามือ ค่อยๆ ย่องเข้า ไปหยิบ แล้วก็นึกได้อีกอย่างว่า ถ้ากดเปิดมือถือ ตอนนี้ เสียงก็คงจะดังจนคนข้างนอกได้ยินอีก

ตอนนั้นเองที่ฉันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงแกร๊ก ดังขึ้นที่หน้าต่างห้องนอน ทว่าขณะเดียวกัน ก็มองเห็นเหมือนเงาฝีเท้าคนวูบไปมาผ่านหน้าห้องทางช่องใต้ประตูไปพร้อมกัน ตอนนี้ฉันค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า มันไม่ได้มาคนเดียว

ฉันกลัวจนเริ่มสะอื้น รอจนเงาที่หน้าห้องหายไปและเสียง ที่หน้าต่างเงียบลงจึง ค่อยๆ แง้มประตู

แล้วก็ต้องวี้ดลั่น เมื่อปะทะเข้ากับร่างเงาดำลึกลับสูงใหญ่ตระหง่านที่ยืนขวางอยู่ที่หน้าประตู ที่หัวมันมีรูขนาดใหญ่ ดวงตากลมโตสีขาวกระด้างจ้องมองและชะโงกเข้ามาจนแนบกับหน้าฉันก่อนจะทะลุวาบหายไปด้านหลัง

ฉันกรีดร้องและวิ่งลงไปที่ชั้นล่าง สามียังคงนอนดูบอลอยู่ที่โซฟา เหมือนไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร

“คุณ คุณ ช่วยด้วย ข้างบนนั่น” … ฉันพูดได้แค่นั้น ก็ต้องสะดุด เมื่อเห็นสามีค่อยๆ หันกลับมามองหน้าพร้อมแผลยาวที่ลำคอและเลือดไหลพรั่งราวเปิดก๊อก “กรี๊ดดดดดดด”

“ใจเย็นๆ คุณ เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้วนี่นา” สามีพูดทั้งที่เลือดยังพรั่งพลั่กออกจากแนวแผล “ไอ้สองคนนั่นขึ้นมาปล้นเรา มันปาดคอผมแล้วขึ้นไปที่ห้อง คุณยิงมันตายตัวนึง แต่อีกตัวที่ตามมาทางหน้าต่างก็จับคุณได้ นั่นน่ะ” เขาพยักพเยิดให้ฉันดูหน้าอกตัวเอง

พอฉันก้มดูก็ต้องผงะ เมื่อเห็นมีดเล่มใหญ่ปักคาอยู่ตรงตำแหน่งหัวใจพอดี โลกทั้งโลกเหมือนกำลังจะถล่มทลายลง ฉันหน้ามืดจนต้องทรุดลงนั่ง

“หมดเวรหมดกรรมคงได้ไปๆ กันสักทีแหละ อย่าเพิ่งคิดมากเลย มาสิ มานั่งดูบอลกับผม ก่อน ข้าวต้มไก่อยู่ในหม้อน่ะ หิวก็กินเลยนะ ผมกินแล้ว”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน