น้าชาติ ประชาชื่น

[email protected]

น้าชาติ ถ้ำเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

ตาโขน

ตอบ ตาโขน

คำตอบนำมาจากบทความ ธรณี วิทยาว่าด้วยการเกิดถ้ำ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟิก สรุปความว่า ปัจจุบันเมื่อเอ่ยคำว่า “ถ้ำ” บางคนอาจนึกถึงความมืดมิด บางคนอาจคิดจินตนาการถึงค้างคาว โดยภาพรวมแล้ว ถ้ำกลายเป็นสัญลักษณ์ของความลี้ลับและความน่ากลัว แต่ย้อนไปในอดีตไกลโพ้น ถ้ำคือบ้านของมนุษย์ยุคแรกเริ่มที่ช่วยปกป้องคุ้มครองบรรพบุรุษของเราจากสัตว์ป่าและสภาพอากาศเลวร้าย

ถ้ำคือโพรงใต้ดินที่ส่วนใหญ่ไม่มีแสงสว่างส่องถึง เกิดขึ้น เองตามธรรมชาติ มีขนาดตั้งแต่ช่องขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่โตมโหฬาร เกิดขึ้นได้ ในเกือบทุกสภาวะบน ผิวโลกจากบริเวณเส้น ศูนย์สูตรไปจนถึงขั้วโลก ใต้ทะเล หรือบนภูเขา อีกทั้งยังเกิดขึ้นได้กับหินทุกประเภท โดยเฉพาะในภาคเหนือของไทย ถ้ำส่วนใหญ่เป็นหินปูน และด้วยภูมิประเทศแบบแนวภูเขาสลับกับหุบเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านจึงก่อให้เกิดถ้ำจำนวนมาก

กำเนิดถ้ำ ในอดีตเคยเชื่อกันว่า ถ้ำเกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่รุนแรง เช่น แผ่นดินไหว ส่งผลให้เปลือกโลกถูกฉีกออกจนกลายเป็นโพรงถ้ำ หรือเกิดจากน้ำท่วมฉับพลันที่ถล่มทะลุทะลวงพื้นดิน

ทว่าแท้จริงแล้ว การเกิดถ้ำมักมาจากน้ำที่ซึมผ่านเป็นเวลานาน ในตอนแรกจุดกำเนิดของถ้ำเริ่มจากหินปูนที่มีน้ำขังอยู่ ซึ่งเรียกว่า ถ้ำจิ๋ว (micro-cave) น้ำที่ซึมผ่านหินจะละลายผนังถ้ำออกช้าๆ จนถ้ำจิ๋วมีขนาดกว้างขึ้นและพัฒนาเป็นโครงข่ายของหลอด เล็กๆ เรียกว่า หลอดเชื่อมโยง (anastomoses) น้ำที่ไหลผ่าน หลอดเล็กๆ นี้จะละลายเอาเนื้อหินปูนช้าๆ

จากนั้นเมื่อหลอดใดหลอดหนึ่งขยายจนมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5 มิลลิเมตร จะส่งผลให้การไหลของน้ำไม่สม่ำเสมอ และไหลวน ทำให้น้ำสัมผัสกับหินปูนมากยิ่งขึ้น จึงไปเร่งอัตราการละลาย การกัดเซาะผนังให้เร็วขึ้น หลอดดังกล่าวจึงมีขนาดใหญ่ขึ้นตาม และดึงน้ำจากหลอดใกล้เคียงให้ไหลผ่านมากขึ้นและเร็วขึ้น เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ถ้ำเริ่มต้น (proto-cave) และเมื่อเวลาผ่านไปถ้ำเริ่มต้นจึงเริ่มพัฒนาเป็นถ้ำ ที่ใหญ่ขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีถ้ำอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการละลายของหินปูน เช่น ถ้ำที่เกิดจากน้ำพุร้อนใต้ดิน เช่น ถ้ำอัญมณี (Jewel cave) ในสหรัฐอเมริกา ถ้ำที่เกิดขึ้นจากสารละลายของกรดซัลฟิวริก เช่น ถ้ำโมไวล์ (Movle) ในโรมาเนีย หรือถ้ำที่เกิดจากลาวาที่เย็นตัวลงแล้ว เช่น ถ้ำคาซามูรา (Kazamura) ในฮาวาย

ธรณีวิทยาของหินรอบๆ ถ้ำจะเป็นตัวกำหนดรูปร่างของถ้ำ รอย เลื่อนและรอยแยกมีผลต่อรูปร่างของถ้ำในหลายๆ ทาง หากถ้ำนั้นๆ มีรอยเลื่อนและรอยแยกอยู่ใกล้กันจะส่งผลให้น้ำไหลได้หลายทาง เกิดเป็นโครงข่ายถ้ำที่สลับซับซ้อน ส่วนการแบ่งประเภทของถ้ำจะแบ่งตามตำแหน่งของถ้ำเมื่อเทียบกับระดับน้ำใต้ดิน เช่น ถ้ำฟรีแอทิก (phreatic cave) เกิดในระดับใต้หรือที่ระดับน้ำใต้ดิน หรือ ถ้ำวาโดส (vadose cave) เกิดเหนือระดับน้ำใต้ดิน

ทั้งนี้ ถ้ำที่ยังคงมีการเปลี่ยนแปลง หรือที่เรียกว่ามีการพัฒนาอยู่จะต้องมีน้ำไหล มีความชุ่มชื้นภายใน หากเป็นถ้ำที่แห้งจะเรียกว่าเป็นถ้ำที่หยุดการพัฒนาแล้ว ถ้ำเหล่านี้จะเกิดการผุกร่อน เกิดรอยแยก และผนังถ้ำพังถล่มลงมาจนในที่สุดแสงอาทิตย์ก็จะสาดส่องเข้ามาในถ้ำได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายของชีวิตที่ยาวนานของถ้ำ กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้ตั้งแต่พันปีไปจนถึงล้านปีหลังถ้ำนั้นๆ หยุดการพัฒนา

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน