วันแห่งความปีติณ ถนนเยาวราช
วันแห่งความปีติณ ถนนเยาวราช – นับเป็นวันประวัติศาสตร์ของปวงชนชาวไทยเชื้อสายจีนและคนไทยทุกหมู่เหล่าต่างปลื้มปีติและอบอุ่นในหัวใจท่ามกลางสายลมหนาว เมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี อย่างใกล้ชิด ขณะทรงพระดำเนินเยี่ยมเยียนพสกนิกรของพระองค์ที่พร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองมาเฝ้าฯ รับเสด็จตลอดสองข้างทางบนถนนเยาวราช ซึ่งเปรียบเสมือนถนนสายมังกร ถนนแห่งการค้าธุรกิจและพำนักอาศัยของชาวไทยเชื้อสายจีนนับตั้งแต่เมื่อครั้งบรรพบุรุษข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในประเทศ ไทยนานนับร้อยปี
วันที่ 6 ธันวาคม พุทธศักราช 2562 เวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ ยังวัดไตรมิตรวิทยาราม เพื่อนมัสการพระพุทธทศพลญาณ พระประธานพระอุโบสถ และพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ในพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ก่อนเสด็จฯ ไปทรงเปิดงานเฉลิมพระเกียรติ “ใต้ร่มพระบารมี สดุดีมหาจักรีวงศ์” ณ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ซึ่งหอการค้าไทย-จีน สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย และสมาคมชาวไทยเชื้อสายจีน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม เพื่อแสดงพลังความจงรักภักดีและพระมหากรุณาธิคุณของราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ และเนื่องในโอกาสพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์ด้วยสูทสีเทา เนกไทสีแดง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ฉลองพระองค์กี่เพ้าสีแดงลายดอกไม้
ในงานจัดริ้วขบวนแห่เฉลิมพระเกียรติโดยสมาคมและองค์กรชาวไทยเชื้อสายจีน ขบวนแห่เชิดสิงโตอวยพร จำนวน 68 หัว และขบวนการแสดงเชิดมังกรทองยาว 108 เมตร พร้อมทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล ตามพระราชอัธยาศัย ทูลเกล้าฯ ถวายมังกรทองคำ ที่ระลึก แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทูลเกล้าฯ ถวายม้าทองคำ ที่ระลึก แด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมจัดแสดงเอ็งกอจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนเสด็จฯ ไปทรงเปิดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ “ใต้ร่มพระบารมี สดุดีมหาจักรีวงศ์” ภายในอุโมงค์แอลอีดี ทอดพระเนตร วีดิทัศน์สารคดีเฉลิมพระเกียรติชุด “ใต้ร่มพระบารมีจักรีวงศ์”
จากนั้นทรงพระดำเนินไปยังโรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ นมัสการพระ อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ (พระกวนอิมโพธิสัตว์) แล้วทอดพระเนตรนิทรรศ การเกริกฟ้า ก้องไกร ประชาไทย ร่มเย็น และทรงรับมอบมังกรทองคำและลูกท้อคู่ทองคำที่ระลึก
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระดำเนินออกจากโรงพยาบาลเทียนฟ้า มูลนิธิ ทรงเยี่ยมราษฎรชาวไทยเชื้อสายจีนที่มาเฝ้าฯ รับเสด็จ ตลอดเส้นทางเสด็จถนนเยาวราช-แยกราชวงศ์-ถนนเสือป่า-ถนนเจริญกรุง-วัดมังกรกมลาวาส รวมระยะทางประมาณ 700 เมตร ทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์และแย้มพระสรวลให้กับประชาชนของพระองค์ สร้างความปลื้มปีติแก่ประชาชนที่ได้เฝ้าฯ รับเสด็จอย่างใกล้ชิด ต่างโบกธงชาติไทย ธงพระปรมาภิไธย วปร. ธงพระนามาภิไธย สท. ชูพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นเหนือศีรษะพร้อมเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องตลอดเส้นทาง ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกำชับไม่ให้วางแผงกั้นใดๆ ตลอดเส้นทางพระดำเนินบนถนนเยาวราช ด้วยความตั้งพระราชหฤทัยที่จะได้ใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ภายหลังประทับพักพระราชอิริยาบถที่โรงแรมแกรนด์ ไชน่า ทรงพระดำเนินไปยังวัดมังกรกมลาวาส เพื่อนมัสการพระศรีอริยเมตไตรย พระประธานอุโบสถ และเทพเจ้าประจำวัด ก่อนเสด็จฯ กลับพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
นางกนกพร วิรุฬห์ไชยพฤฒิ อายุ 68 ปี เผยว่า เคยรับเสด็จทั้งสองพระองค์มาก่อนแล้ว แต่ครั้งนี้ได้เห็นพระองค์ใกล้ชิดมาก สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงสวมกี่เพ้าสวยงามมาก ดีใจมากๆ ที่ได้มาวันนี้ ได้ชมพระบารมีทั้งสองพระองค์ และได้มาร่วมงานที่เยาวราชด้วย เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ดีใจที่มีงานแบบนี้ ขอให้ทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญ
“ดีใจและตื่นเต้นที่สุดที่ได้มารับเสด็จในหลวง ร.10 พร้อมพระราชินีอีกครั้ง รู้สึกปลาบปลื้มใจ นับเป็นเกียรติของลูกหลานคนไทยเชื้อสายจีนเป็นที่สุดที่วันนี้ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระเมตตาเสด็จฯ มาเยาวราชและมาเยี่ยมเยียนลูกหลานคนไทยเชื้อสายจีน เราคนไทยเชื้อสายจีนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่สุด ดีใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย และอยู่ในแผ่นดินของพระองค์” ความรู้สึกของ นาง เกตน์สิรี วิชาญฤทธิกุล อายุ 64 ปี ซึ่งเดินทางมาจาก จ.สมุทรปราการ
นางเกตน์สิรี กล่าวต่อว่า “ยิ่งได้เห็นในหลวงทรงโบกพระหัตถ์ น้ำตาซึมเลยทีเดียว ดิฉันขอเป็นตัวแทนลูกหลานคนไทยเชื้อสายจีนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ รักในหลวง พระราชินี ขอให้ทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นคู่ฟ้าคู่แผ่นดินของปวงชนชาวไทยตลอดกาล”
นายจำเริญ ปัญญามีรักษ์ อายุ 54 ปี ชาวจ.เชียงใหม่ ซึ่งประกอบอาชีพร้านเสริมสวยย่านถนนพลับพลาไชยมา 31 ปี เผยว่า “ช่วงที่พระองค์ท่านเสด็จฯ ผ่าน รู้สึกได้ถึงพระบารมีที่ท่านทรงมีพระเมตตาต่อประชาชนชาวไทย ผมได้แต่เปล่งเสียง ‘ทรงพระเจริญ’ ขอให้ทั้งสองพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตลอดไป”
ด้าน นางเพียงจิต วงษ์สีมาอนันต์ อายุ 78 ปี เล่าว่า เดินทางมาจากจ.ยะลา รู้สึกปลื้มปีติที่ได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี เป็นครั้งแรกในชีวิต นับเป็นคู่บุญคู่พระบารมี มองพระองค์ไม่กะพริบตา เพราะรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์มาก ติดตามข่าวในหลวงพระราชทานสิ่งของแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุภัยพิบัติ ทรงมีพระราชปณิธาน ความห่วงใย และความตั้งใจอันแน่วแน่ในการทรงงานเพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และแนวพระราชดำริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พสกนิกร
ขณะที่ นางวรรณี สุประเสริฐกุล อายุ 56 ปี กล่าวว่า เมื่อหลายปีมาแล้ว ได้รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ วัดพระแก้ว ตั้งแต่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ยังไม่เคยเฝ้าฯ รับเสด็จ วันนี้ตั้งใจมาร่วมเฝ้าฯ รับเสด็จถือเป็นความภาคภูมิใจและตื้นตันใจ นับเป็นบุญตาที่ได้เห็นพระองค์
“ได้ชื่นชมพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ซึ่งฉลองพระองค์ชุดกี่เพ้าสีแดงอมเลือดหมู ทรงพระสิริโฉมงดงาม สง่างาม อ่อนหวานมาก ทั้งสองพระองค์ทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ให้ประชาชน ภาพนี้จะติดตราตรึงอยู่ในความทรงจำตลอดไป” นางวรรณีกล่าว