คอลัมน์ หลอน

นทธี ศศิวิมล

เมื่อตอนที่ฉันเด็กๆ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีๆ สางๆ และอาถรรพ์หลายอย่าง หลายๆ ผีพวกผู้ใหญ่กลัว และพากันปฏิบัติตามความเชื่อไม่ให้พลาดเพื่อจะได้ไม่ต้องเผชิญกับผีต่างๆ และความฉิบหายวอดวายที่จะมากับผีพวกนั้น แต่อีกหลายๆ ผีในเรื่องเล่าเหล่านั้น กลับเป็นเรื่องที่น่าสนุกตื่นเต้นปนหลอน ยิ่งลี้ลับยิ่งระทึก สำหรับพวกเด็กๆ ที่สมัยนั้นยังไม่มีมือถือและอินเตอร์เน็ต

ผีที่เราจะได้ยินบ่อยที่สุดคือผีม้าบ้อง ผีกะ ผีโพง ผีโป่งค่าง เพราะพื้นที่แถบที่อยู่คือภาคเหนือ แม้จะเป็นย่านชุมชนแต่ก็ตั้งอยู่ไม่ห่างจากป่าเขาลำเนาไพร ผีป่าและผีบ้านจึงสามารถแลกเปลี่ยนถ่ายเทวัฒนธรรมซึ่งกันและกันได้ ผีม้าบ้อง ผีโป่งค่าง มีข่าวลือว่าเข้ามาอาละวาดดูดนิ้วหัวแม่โป้งเท้าคนเฒ่าในหมู่บ้าน เช่นเดียวกับมีคนที่เข้าป่าไปหาเห็ดในตอนเช้ามืด ได้ยินเสียง เห็นร่างรางๆ และเห็นรอยเท้าของ ผีม้าบ้องวิ่งแซงผ่านไปในระยะประชิด เล่น เอากลับมาจับไข้ผมร่วงกันเป็นหย่อมๆ

น่าแปลกที่เราเด็กๆ แม้จะอยู่ในวัยที่กำลังเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกสนาน และไม่เคยกลัวเกรงอะไร โดยเฉพาะในตอนที่อยู่กับพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจได้ ก็ยังมีบางอย่างที่เรารู้สึกว่ากลัว กลัวจริงๆ กลัวจับใจทั้งที่ไม่เคยรู้จักและไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร

ภาพหนึ่งที่ฉันจำได้ คือเย็นวันที่อากาศร้อนวันหนึ่ง พวกเราเด็กๆ สี่ห้าคนนั่งเล่นกันอยู่ที่ลานดินหน้าบ้าน อยู่ๆ แสงสว่างบนฟ้าก็ถูกบดบังกะทันหัน ฉันจำได้ว่าเงานั้นบังแดดที่พื้นดำเข้มหนาทึบราวกับมีมือขนาดยักษ์มาโอบบังแสงอยู่ พวกเราพากันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วก็ต้องตื่นตะลึงกันแล้วขนลุกเกรียวทั้งตัว เย็นหลังวาบโดยไม่รู้เหตุผล

ภาพที่เห็นตรงหน้าคือมวลก้อนเมฆขนาดมหึมาสีเทาดำมะเมื่อม ผิวตะปุ่มตะป่ำ ปั้นตัวเองเป็นแท่งใหญ่ยักษ์ยาวเหยียดพาดฟ้า จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งเกือบสุดสายตา คดเคี้ยวไปมาดูราวกับงูยักษ์หรือพญานาคที่กำลังจะทอดตัวลงมาเขมือบคนที่กำลังยืนแหงนหน้ามองพื้นอย่างพวกเรา ซ้ำยังเคลื่อนตัวต่ำเพียงเหนือ ยอดไม้

ฉันได้ยินเสียงแม่ร้องว้ายอยู่แวบหนึ่งก่อนที่แม่จะลากฉันกับน้องๆ ที่เล่นอยู่ด้วยกันเข้าไปหลบในบ้าน ปิดประตูหน้าต่างมิดชิด ตัวสั่นเทา ท่าทางของแม่ทำให้พวกเด็กๆ อย่างเราตกใจกลัวไปด้วย แม่ต้อนพวกเราขึ้นไปบนห้องนอนแล้วพากันสวดมนต์ คอยร้องห้ามคนที่พยายามจะไปแอบดูทางช่องหน้าต่างช่องรอยแตกตามข้างฝาไม่ให้ดู วันนั้นจำได้ว่าเรากลัวกันมากจริงๆ จนตอนหลังต้องมานั่งกองรวมกันไม่กล้ากระดิกไปไหน รอจนท้องฟ้าเริ่มสว่างอีกครั้งจึงคลายความกลัวลง และแม่ก็ยอมให้แต่ละคนกลับบ้านของ ตัวเองอย่างด่วน ห้ามแวะที่ไหน

ตอนนั้นแม่เล่าให้ฟังว่าสิ่งน่าสะพรึงที่เราเห็นบนท้องฟ้าเมื่อครู่คนเฒ่าคนแก่เล่าต่อกันมาว่าคือผีรวงฟ้า หากปรากฏบนฟ้าแบบนี้เมื่อไหร่ให้รีบพากันเข้าบ้าน ปิดประตูหน้าต่างให้ดี ไม่อย่างนั้นผู้ที่ยังอยู่ข้างนอกและเอาแต่จ้องมองไปที่มันโดยตรงนานๆ จะถูกของ หรือ อาจจะเรียกได้ว่าเวทมนตร์ชั่วร้ายบางอย่าง ทำให้มีอันเป็นไปเช่นตายหรือเป็นบ้าเป็นหลังไปได้

ผีรวงฟ้าที่ดูราวกับปีศาจอเวจีสีดำขนาดยักษ์วาดเต็มฟ้าคราวนั้น ผ่านไปได้เพียงวันเดียว ก็ปรากฏว่ามีหญิงท้องแก่คนหนึ่งเกิดความผิดปกติขึ้น คือจู่ๆ ก็เอาแต่ร้องไห้อาละวาด บอกว่ามีคนจะมาลักเอาลูกในท้องไป วิ่งหนีปุเลงๆ จนญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านต้องออกมาช่วยกันไล่จับ อาละวาดไม่หยุดจนต้องตามหมอผี ก่อนจะไปจบที่โรงพยาบาล สุดท้าย คนท้องเสียชีวิต และเด็กในท้องก็ด้วย

ตอนนั้นมีการทำบุญหมู่บ้านกันขนานใหญ่ เพื่อให้คนในหมู่บ้านที่ไม่สบายใจรู้สึกดีขึ้นบ้าง บางบ้านถึงกับเอาไก่เลี้ยงมาฆ่าเซ่นไหว้ผีที่หน้าบ้าน เลือดสาดแดงฉานไปหมด

หลังจากนั้นไม่กี่ปีต่อมา น้าหมู น้าชายของฉันกลับมาอยู่บ้านหลังถูกให้ออกจากงาน แรกทีเดียวน้าหมูมาด้วยท่าทางเศร้าเหงาหงอย แต่ทว่าอาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ชอบเล่นสนุกกับเด็กๆ และช่วยพ่อกับแม่ฉันดูแลสวนอย่างดี ทว่า หลังจากน้ากลับมาได้เพียงสองเดือน สิ่งที่เคยทำพวกเราหวาดสะพรึงก็ปรากฏอีก

สายเมฆหรือหมอกหม่นพาดยาวบนท้องฟ้าในเวลาใกล้ค่ำ ดำทะมึนใหญ่โตเหมือนจะกระโจนลงมา ทุกคนวิ่งหนีเข้าบ้าน เราพยายามดึงน้าหมูเข้าบ้านด้วย แต่แกสะบัดทุกคนออก เอาแต่ยืนนิ่งแหงนหน้าจ้องมองค้างขึ้นไปข้างบนด้วยดวงตาเบิกโพลง แม่เอาพวกเด็กๆ เข้าบ้านแล้วรีบวิ่งมาดึงแขนน้าหมูอีก ?หมู อย่าไปมองมัน เข้าบ้าน? แม่ร้องตะโกน

น้าหมูสะบัดแขนแม่ อ้าปากร้องเสียงโหยหวน ดวงตาเหลือกลานมองไปบนนั้น หลังจากนั้นก็วิ่งสุดฝีเท้าหายลับเข้าไปในป่า อีกหลายสิบปีก็ยังไม่มีใครได้พบเจอน้าหมูอีกเลย และก็ไม่มีใครเห็นผีรวงฟ้าปรากฏชัดเจนเช่นนั้นอีกจนกระทั่งวันนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน