คอลัมน์ หลอน

นทธี ศศิวิมล

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตสุดบัดซบของผมเองเมื่อตอนอยู่ ม.3 เทอมแรก สมัยนั้นผมยังอยู่บ้านกับพ่อที่คลองลาน จ.กำแพงเพชร ในขณะที่แม่พาน้องสาวที่ห่างกับผมแค่ปีเดียวแยกมาทำงานในกทม.ได้สามปีแล้ว เพราะไม่อาจทนอยู่กับพ่อที่ติดพนันอย่างหนักและเอาแต่เอะอะโวยวายใส่แม่ตลอดเวลา จนต้องแยกทางกัน

มันไม่ค่อยแฟร์สำหรับผมเท่าไหร่ แต่ผมก็จำเป็นต้องอยู่กับพ่อต่อจนอย่างน้อยจบม.3 เพราะตัดปัญหาเรื่องความยุ่งยากในการจะเข้าโรงเรียน และหัวเด็ดตีนขาดพ่อก็ไม่ยอมให้แม่เอาลูกไปหมดทั้งสองคน ในขณะที่น้องสาวของผมจบ ป.6 พอดี แม่เลยพาน้องไปก่อน ทิ้งให้ผมอยู่ต่อกับมนุษย์ผู้ชายโคตรงี่เง่าที่ไม่เคยใส่ใจด้วยซ้ำว่าผมจะเรียนหรือไม่เรียน หรือแม้แต่เย็นนี้จะมีอะไรกินกันหรือไม่

หลังจากแม่ไปกทม.แล้ว บ้านทั้งหลังที่เคยมีแต่เสียงเอะอะมะเทิ่งของพ่อที่คอยจะแง่งใส่แม่ก็กลายเป็นเงียบเหงา ผมไม่แน่ใจแล้วด้วยซ้ำว่าพ่อจำได้หรือเปล่าว่ายังมีลูกอีกคนอยู่ที่บ้าน บางวันกลับจากโรงเรียนผมก็ไม่เจอพ่อ กว่าพ่อจะกลับก็ดึกดื่น บางคืนผมก็ต้องนอนคนเดียว ร้องไห้ด้วยความเหงาและกลัวเหมือนเด็กเล็กๆ ยังดีแต่ว่าแม่คอยส่งเงินมาเข้าบัญชีให้ผมกดมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายและค่าขนมไปโรงเรียนไม่เคยขาด ไม่งั้นผมอาจจะอดตายไปแล้วก็ได้

แม่กับน้องสาว ไลน์มาคุยกับผมบ่อยๆ บางทีก็เปิดกล้องคุยกัน แต่ยิ่งนับวันผมยิ่งเบื่อ ยิ่งน้องสาวเอาแต่ขยันอวดเพื่อนใหม่ โรงเรียนใหม่ ได้ไปกินร้านดังๆ ที่มีรีวิวในเว็บที่เราเคยได้แต่คุยกันว่าอยากไปตอนอยู่ที่คลองลาน อวดเสื้อผ้าของใช้ใหม่ๆสวยๆ ช่างไม่นึกถึงใจคนที่ไม่มีโอกาสอย่างผมบ้าง ยิ่งเห็นหน้าแม่ยิ้มแย้มแจ่มใสยิ่งน้อยใจ แม่ดูเป็นสุขดีแม้ในวันที่ไม่มีผม ที่จริงผมอาจจะเป็นส่วนเกินในชีวิตของทุกคนมานานแล้วก็ได้ พอไม่มีผมขึ้นมาทุกคนถึงได้มีความสุขกันขนาดนี้

หลังจากนั้นผมเลยไม่ใส่ใจอีก ทั้งเรื่องบ้าน เรื่องโรงเรียน นึกอยากทำอะไรก็ทำ อยากเที่ยวไหนก็เที่ยว ช่วงนั้นเองที่ผมเจอไอ้เกี๊ยก

ผมเจอมันในดงกล้วย นึกแล้วก็ตลกดีเหมือนกัน ผมได้ยินเสียงกลั้นหัวเราะคึ่กๆ ดังแว่วออกมาจากดงกล้วยหลังโรงเรียนด้านที่ไม่มีใครเข้าไปเพราะมันเป็นป่าละเมาะรกทึบ ตอนที่ผมกำลังจะมุดรั้วหนีโรงเรียนออกไปเที่ยวพอดี ด้วยความสงสัยว่าเสียงอะไร ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ๆ และชะโงกหน้าเข้าไปดู ปรากฏว่าเป็นเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกับผม

กำลังนั่งพี้กัญชาอยู่อย่างเอร็ดอร่อย ท่าทางของมันที่ หัวเราะอึกๆๆ ทั้งที่ตาลอยดูยังกับคนกำลังชักกระตุกทำเอาผมฮา เคยได้ยินมาเยอะเหมือนกัน ว่าของพวกนี้ ช่วยให้เราหลุดโลก เคลิ้มฝัน ลืมๆ อะไรต่ออะไรที่เครียดๆ ไปได้ชั่วครั้งชั่วคราว ผมได้ยินเลยอยากลองบ้าง เลยนั่งคุยกับไอ้เกี๊ยกทั้งๆ ที่กำลังเมาอย่างงั้นแหละ แล้วก็ขอมันลอง

หลังจากวันนั้นผมก็ไปโรงเรียนทุกวันโดยที่ไม่ต้องรอแม่โทร.มาปลุกหรือรอพ่อเรียก เพราะเมื่อได้โอกาสผมก็จะชิ่งแวบไปที่ดงกล้วยหลังโรงเรียน ไปสังสรรค์กับไอ้เกี๊ยก ตอนหลังๆ นอกจากกัญชาแล้ว เกี๊ยกยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาแนะนำให้ผมอีก ทั้งม้า ไอซ์ อี และผง ผมได้เงินมาจากแม่เท่าไหร่ก็เอามาส่งให้ไอ้เกี๊ยกคอยหาของให้ เราตกลงกันว่า เราจะรู้จักกันแค่ในอาณาเขตดงกล้วยนี้เท่านั้น ถ้าไปเจอกันข้างนอกจะไม่ทักกัน เผื่อใครโดนจับได้จะได้ไม่มีใครสาว

กระทั่งวันที่ผมไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย ผมจำได้ว่าฝากไอ้เกี๊ยกซื้อของไว้เล่นกันแต่ก็คิดว่ามันคงรู้เองและค่อยเคลียร์กันในวันรุ่งขึ้น คืนนั้นฝนตกหนัก ผมสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงเคาะประตูบ้าน เนื่องจากพ่อยังไม่กลับ ผมเลยต้องเดินลงมาดูเอง

พอเปิดประตูก็พอดีกับฟ้าแลบปลาบส่องแสงสว่างวาบสาดส่องร่างไอ้เกี๊ยกที่ยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้านั้นซีดเซียว เปียกโชก ดวงตาซูบโทรมแดงก่ำ ผมตกใจจนแทบผงะหงายหลัง ใจเต้นรัวเร็ว

“เชี่ย มึงมาทำไม เดี๋ยวพ่อกูเห็น กลับไปก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยกันที่ดงกล้วย” แต่พอเห็นตัวมันเปียก เลยเปลี่ยนใจ เรียกให้เข้าบ้านก่อน แต่ไอ้เกี๊ยกส่ายหน้าเศร้าๆ ผมหันกลับมาเปิดไฟ แล้วพอหันมาอีกทีไอ้เกี๊ยกก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

วันรุ่งขึ้นผมร้อนใจแปลกๆ พอไปถึงโรงเรียนก็ได้รู้ว่าครูใหญ่ประกาศปิดเรียนหนึ่งวัน เพราะเจอศพเด็กหนุ่มนอนตายอยู่ในดงกล้วยหลังโรงเรียน คาดว่าน่าจะตายตั้งแต่ช่วงเย็น

ผมรีบเดินกลับบ้านด้วยความเครียดอย่างหนัก อาเจียนระหว่างทางเมื่อคิดว่าไอ้เกี๊ยกอาจจะอยู่รอผมและเอาของที่ผมฝากซื้อมาใช้เองจนเกินขนาด จะอย่างไรก็ตามแต่ เรื่องนั้นทำให้ผมตัดสินใจเก็บข้าวของไปหาแม่ที่กรุงเทพฯ ในวันนั้นเลย และไม่คิดแตะต้องกับยาเสพติดชนิดไหนอีกเลยนับแต่นั้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน