คุณแม่ลูกสาม ที่เมืองกัลลาร์ดง ฝรั่งเศส : คอลัมน์ เป็นแม่ไม่ง่าย โดย…ขึ้นหนึ่งค่ำ

คุณแม่ลูกสาม – เริ่มต้นเลยคือ เมื่อปี 1991 เราเป็นนักรังสีเทคนิค ประจำรพ.ต่างจังหวัดตอนนั้นมีทุนAMFAเข้ามา เป็นทุนระยะยาวที่จะให้สำหรับพยาบาลและนักรังสีการแพทย์ไปดูงานระยะยาวหนึ่งปี ที่ประเทศฝรั่งเศส

เพื่อดูงานศึกษางาน ทุนนี้เขารับปีละประมาณสิบกว่าคน ต้องสอบชิงทุนมีเงื่อนไขว่าคนไทยต้องเอาความรู้ที่ได้รับไปสอนต่อ โดยมีสัญญาว่าจบแล้วต้องกลับมาที่ไทย
พอสอบได้เขาจะสอนภาษาให้สามเดือนก่อนเริ่มดูงาน ตอนที่มาครั้งแรกยังไม่ได้เจอแฟน แต่สนิทสนมกันดีกับเพื่อนที่ทำงานที่นี่โปรเฟสเซอร์ที่นี่เอ็นดู เมตตาเรามาก เขาจะเรียกเราด้วยคำที่แปลว่าเจ้าหนูน้อย เขาเลยชวนกลับมาเข้าโปรเจคอีกทีในปี 1994 ตอนนั้นสามีซึ่งเรียนวิศวะเข้ามาทำงานเสริมในช่วงฤดูร้อนที่ รพ. เพราะช่วงหน้าร้อนพนักงานจะลาหยุดเยอะมาก เหลือราว 60 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องการคนเพิ่ม (ก.ค.-ส.ค.)เราเลยได้เจอกันในช่วงนั้น
เขาทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่เวรเปลที่รับคนไข้มาให้เรา จนจบช่วงทำงานหน้าร้อน เรากลับมาไทยก็ยังติดต่อกัน พอเขาเรียนจบ เขาก็โทรมาขอแต่งงาน โดยโทรมาบอกว่า “ขอมือหน่อย” เป็นสำนวนว่าขอแต่งงาน ซึ่งทีแรกเราไม่เข้าใจ กว่าจะเข้าใจกันได้ก็ใช้เวลาพักหนึ่ง ก็หัวเราะขำกันไป
หลังจากนั้นเราก็ไปทำวีซ่า เป็นวีซ่าแต่งงาน ต้องจดทะเบียนภายในสามเดือนตามที่เขาระบุเราก็จะได้บัตรเป็นสถานะคู่สมรสของคนในประเทศ

ช่วงนี้ทางกระทรวงมหาดไทยก็ขอให้สามีเขียนบรรยายมาว่า ไปพบกันอย่างไร มีความสัมพันธ์อย่างไร เพื่อให้เขาเซ็นรับรองได้ว่า เขาจะรับรองให้เราในหน้าที่สามีหลังจากนั้นพอเราไปติดต่อกงศุล เจ้าหน้าที่หน้าห้องก็พูดดูถูกด้วยการถามว่า “จะไปแต่งงานนี่รู้จักชื่อคนที่จะแต่งงานด้วยหรือยัง” เราโกรธมาก เลยเปลี่ยนเป็นพูดภาษาฝรั่งเศสขอพบหัวหน้า เขาก็ไม่เข้าใจ แต่ในที่สุดได้พบหัวหน้า เรื่องราวก็ผ่านไปด้วยดี
พอมาที่ฝรั่งเศสแล้ว เราก็ไปทำเอกสาร แต่มีปัญหาติดตรงที่เขาต้องการใบรับรองใบเกิด แต่ที่เมืองไทยไม่มีเอกสารตัวนี้ เถียงกันพักหนึ่งแต่ในที่สุดเขาก็ทำให้ ในที่สุดก็ได้แต่งงานกันเมื่อวันที่ 22 ก.พ. 1997
ท้องลูกคนแรก ปี 1999 พอรู้ว่าท้องได้เดือนนึงเราก็ลาออกจากงาน เพราะสามีเห็นว่าอยากให้เรามาเป็นแม่บ้านคอยช่วยดูแลลูกน่าจะดีกว่า เพราะจะได้ดูแลลูกใกล้ชิดด้วยตัวเอง ตอนคลอด คลอดยากมาก ปวดท้องแปดโมง คลอดสี่ทุ่มสี่สิบ เพราะลูกตัวโตมาก 4.8 โลและเราตัวเล็ก จนหมอกำลังจะตัดสินใจผ่า แต่พอจะผ่าลูกก็มุดลงต่ำ จะออกแล้ว เลยต้องคลอดเอง เราก็รวบรวมกำลังใจ เอาผ้าถุงย่าที่เอาติดตัวมาด้วยมากอดมาดมให้กำลังใจ พอให้ย่าที่เสียไปแล้วช่วยหลานด้วย ในที่สุดก็คลอดสำเร็จ เราก็หมดสติไป
หลังคลอดมีปัญหาน้ำนมน้อย ลูกกินได้แค่สามเดือน หลังจากนั้นเลยต้องเสริมนมชงด้วย แต่ลูกก็มีสุขภาพแข็งแรงมาก คนที่นั่นเขาจะชอบให้กินนมผสมผงแป้งแบบคล้ายๆอาหารเสริมเพื่อให้เด็กหลับยาวขึ้นแต่เราก็จะไม่ผสม ตื่นบ่อยก็ไม่เป็นไรอยากให้ลูกได้คุณค่าทางอาหารจากน้ำนมแม่ได้เต็มที่
เราอยู่ไปเกินหนึ่งปีแล้วเราก็ได้สิทธิขอสัญชาติ ตอนนั้นเราก็มีลูกคนแรกอายุเดือนนึง เวลาไปติดต่อกับตำรวจกับศาล ก็พาลูกไปด้วย เขาก็สอบเราเครียดมาก แต่เราก็ตอบเขาเป็นภาษาเขาได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นก็พอดีลูกร้องไห้หิวนมขึ้นมา เราก็เอาเข้าเต้าเลยตรงนั้น จนเจ้าหน้าที่เขาเห็น เชื่อว่าเป็นครอบครัวจริง เลยให้ผ่านมาง่ายๆ
เราก็จะเลี้ยงลูกแบบไทยๆผสมฝรั่งเศส ด้วยทั้งเรื่องอาหารการกิน การชีวิตในชื่อจริงจะมีชื่อไทยอยู่(พี่ขุนทอง คนโต เดอนี่ กอปรทองจมื่นพชร์ คนรอง เตโอ กองพชร์คุณท้าวอิน คนเล็ก โรส แมกดาเลน่า อินทวา)เด็กๆกินอาหารไทยได้ อาหารยุโรปก็กินได้

เมนูโปรดของแต่ละคนก็จะต่างกัน คนแรกชอบข้าวมันไก่ ชอบผัดไทย คนที่สองชอบกินผัดซีอิ๊ว ชอบข้าวหมกไก่ หมูปิ้งหมักซีอิ๊วแบบไทยๆ ส่วนคนเล็กชอบกินข้ามต้มอุ่นๆตอนเช้า อาหารรสเผ็ด มีผงกะหรี่ ผักผัดกรอบๆ ผัดกะเพรา ทุกคนในบ้านชอบกินผักบุ้งไฟแดง(ใส่น้ำมันหอย)มาก ทุกคนใช้ตะเกียบเป็น ทุกคนเว้นสามีชอบข้าวเหนียวมะม่วงเป็นของหวานมาก สามีชอบขนมไข่นกกระทาทอด กล้วยแขก ซึ่งหาไม่ค่อยได้ เราก็ต้องทำเอง ครอบครัวเราก็จะกินอาหารที่เตรียมและทำเองทุกๆมื้อ ที่นี่ไม่มีร้านข้างทาง จะมีคือเป็นร้านอาหารจริงจังและมีราคาแพง โดยรวมอาหารบ้านเราเลยเป็นอาหารหลายสัญชาติ

ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในเรื่องของการเลี้ยงดูลูก ก็ทำให้เกิดอุปสรรคและความขัดแย้งอยู่บ้าง โดยเฉพาะลูกคนแรก เราก็ต้องอาศัยการชี้แนะจากแม่สามี เขาก็จะมีความเชื่อในการดูแลเด็กที่ต่างกัน เราต้องแยกนอนกับลูกตั้งแต่เล็กๆเพื่อความเป็นสัดส่วน ในช่วงแรกก่อนไปโรงเรียนลูกเราจะพูดภาษาไทยได้ แต่หลังจากไปโรงเรียนลูกจะแทบไม่พูดไทยเลย และบางทีเวลาเราอยู่ในที่สาธารณะหรืออยู่ร่วมกับครอบครัวใหญ่ เวลาเราพูดไทยกับลูก จะถูกมองแปลกๆ ในที่สุดเราเลยไม่กล้าพูดไทยกับลูก ตอนนี้เลยมารู้สึกเสียใจที่เราแคร์สายตาคนอื่นมากไป จนตอนนี้ลูกเลยพูดไทยไม่ได้สักคน แค่รู้เป็นคำๆ จะมาเรียนรู้ทีหลังก็ไม่เป็นธรรมชาติแล้ว

ตอนที่ลูกเข้าโรงเรียนจะเจอปัญหากับเพื่อนๆในโรงเรียน จากรูปร่างหน้าตาของลูกที่หน้าตาคล้ายคนไทยมาก แต่ก็ไม่ใช่เอเชียแบบคนจีน แต่มีผิวสีเข้มกว่า ก็จะถูกล้อเลียน ซึ่งลูกก็จะต่อยเลย เราไปโรงเรียนบ่อยมากเพราะลูกมีเรื่องกับคนที่รังแกบูลลี่ แต่เราก็พยายามสอนลูกให้มีภูมิ มีความเข้าใจ เราห้ามใครไม่ได้ ต้องจัดการหัวใจตัวเอง อย่าโกรธง่าย มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น และสอนให้ลูกอ่อนน้อมถ่อมตน จนในที่สุดผ่านเวลาไปลูกก็เข้าใจ คนรอบข้างก็ดีกับลูกมากขึ้น และก้าวข้ามปัญหามาได้ และกลายเป็นที่รักของเพื่อนๆและเข้ากับทุกคนได้ตามปกติ

ตอนนี้ลูกคนเล็กตอนนี้อยู่ชั้นคอลเลจ เกรด 4 (ประมาณ ม.2 ของไทย) คนกลางกำลังเรียนระดับชั้นสุดท้ายของคอลเลจ เตรียมสมัครเข้ามหาวิทยาลัย ลูกคนโตก็ทำงาน(กราฟฟิกดีไซน์) ไปเรียนด้วยไปโดยบริษัทเป็นคนส่งเรียน ตอนนี้ที่บ้านแทบไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูคนโตเลย เพราะลูกได้ทุนและหารายได้เลี้ยงตัวเองได้ตอนนี้ก็ถือว่าลูกเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วค่ะ#.

ที่มาของเรื่องและภาพ คุณ บุหลันบัณรสี เมืองกัลลาร์ดง ฝรั่งเศส


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน