คุณแม่ในสถานการณ์โควิดในต่างแดน : คอลัมน์ เป็นแม่ไม่ง่าย โดย : ขึ้นหนึ่งค่ำ

คุณแม่ในสถานการณ์โควิด – ช่วงที่เริ่มมีข่าวแรกๆ ตอนนั้นคนที่นี่มองว่าโรคนี้น่าจะเหมือนไข้หวัดใหญ่ประเภท ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมูก่อนหน้านี้ ที่น่าจะระบาดแค่ในแถบประเทศทางเอเชียและไม่เกี่ยวข้องกับเรา

แต่พอการระบาดเริ่มออกนอกประเทศก็เริ่มตื่นตัว และเริ่มมีการเตรียมหน้ากากอนามัย รัฐมีการเตรียมการรับคนกลับ การระบาดที่นี่ส่วนใหญ่น่าจะมาจากประเทศอิตาลี กับเยอรมัน โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน มักจะชอบขับรถข้ามไปซื้อของ(เช่นพวกบุหรี่)และติดเชื้อกลับมา

ประกอบกับอีกอย่าง ในช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ผู้ปกครองจำนวนหนึ่งส่งเด็กๆไปเข้าค่ายที่อิตาลี(ตามความนิยม)เพราะอากาศอุ่นกว่า ทำให้เวลาที่เด็กๆกลับมาจากแคมป์ที่นั่น ติดเชื้อและพาโรคกลับมาด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มมีการเอาเชื้อไปติดที่โรงเรียนและแพร่เชื้อกับเด็กๆ และในที่สุดก็นำมาติดคนที่บ้านด้วย

การแพร่เชื้อที่นี่แพร่กระจายเร็ว และจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นเร็วมาก พฤติกรรมคนที่นี่จะต่างกับคนเอเชีย เพราะเขาจะไม่ค่อยใส่หน้ากากอนามัย มีค่านิยมว่าคนที่ใส่หน้ากากคือคนป่วยที่ต้องหลีกเลี่ยง
ในช่วงที่โรคนี้แพร่ระบาดมากๆ หน้ากากอนามัยจะถูกจัดสรรให้กับเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ก่อนเท่านั้น ประชาชนไม่สามารถหาซื้อหน้ากากอนามัยได้เลยในช่วงนั้น ยกเว้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงว่าหากติดเชื้อแล้วจะอันตรายมากๆ เช่นสูงอายุหรือมีโรคประจำตัวอาจจะยังพอสั่งจากร้านขายยาได้ ส่วนประชาชนที่มีเก็บไว้ ก็จะพากันเอาไปมอบให้หมอ พยาบาลที่โรงพยาบาลก่อนเพราะเข้าใจปัญหา

คนฝรั่งเศสเนื่องจากอุปนิสัยโดยรวมไม่ค่อยเคร่งครัดกับคำสั่งของรัฐ ก็จะยังคงออกไปข้างนอก ความระมัดระวังน้อย คิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีส่วนทำให้จำนวนผุ้ติดเชื้อมีมาก อีกอย่างมีการติดเชื้อในบ้านพักคนชราซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ติดแล้วอาการรุนแรงทำให้อัตราการเสียชีวิตมากขึ้นไปอีก
จากการที่มีคนติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในเวลารวดเร็ว ทำให้โรงพยาบาลไม่สามารถรับทุกคนที่ติดเชื้อได้ คนที่ป่วยไม่มากต้องอยู่ที่บ้าน แล้วให้เจ้าหน้าที่ไปส่งยา อาการหนักแล้วจึงจะเรียกรถโรงพยาบาลมารับ ทุกรพ.เต็มหมด ที่นี่รพ.เอกชนไม่มากเหมือนที่ไทย และทุก รพ.ประชาชนก็จะใช้สิทธิ์สวัสดิการทางการแพทย์หรือประกันสุขภาพ

ในช่วงเวลาแบบนี้เราค่อนข้างกังวลกับลูกชายคนโตมากกว่าคนอื่น เพราะตอนที่มีการประกาศปิดประเทศ และห้ามคนที่ไม่มีความจำเป็นออกจากบ้าน 24 ชม. ทำให้ตอนนั้นลูกชายติดอยู่อีกเมือง กลับมาบ้านไม่ทัน (ส่วนลูกอีกสองคนอยู่ที่บ้านด้วยกัน)
เราก็กังวลมาก เครียดกลัวว่าเขาจะไม่ตระหนักว่านี่คือเรื่องใหญ่ กลัวลูกจะไม่ระวังตัวและอาจจะติดเชื้อ และลูกอยู่อพาร์ทเมนต์ เป็นสถานที่แคบๆ กลัวลูกจะเครียดจนต้องหนีออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกเหมือนคนอื่นๆ แต่ในที่สุดลูกก็ดูแลตัวเองดี ออกมาซื้อกับข้าวสัปดาห์ละครั้ง ดูแลป้องกันตัวเองดี
ลูกคนโตก็จะมีบ่นบ้างว่า เขาไม่สามารถหาซื้อข้าวไทยมาทำอาหารได้ ได้มาแต่ข้าวอินเดีย ก็จะไม่ค่อยถูกปาก เพราะแข็ง ย่อยยาก ก็จะคิดถึงข้าวไทยเพราะเคยชินกับข้าวไทยมากกว่า อีกอย่างลูกชายคนโตทำอาหารเองเก่ง สนุกกับการทำอาหาร โดยเฉพาะอาหารไทย ช่วงนี้จะยากหน่อย


ที่บ้านก็มีเตรียมอาหารไว้นานหน่อยสำหรับคนในครอบครัว เวลาออกไปซื้อของเราก็ออกไปเอง ล้างมือบ่อยๆ พกแอลกอฮอล์เจลคอยหมั่นเช็ดของที่เราสัมผัส ส่วนลูกๆไม่พาออกไปร้านหรือในที่ชุมชนเลย เพราะไม่อยากให้ไปเสี่ยงกับการติดเชื้อ เพราะเราเองก็ไม่สามารถหาหน้ากากอนามัยมาใช้ได้
ส่วนเรื่องการเรียนของลูกๆ ก็ปรับจากการเข้าเรียนในห้องเรียนเป็นการเรียนแบบออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ ผ่านไลน์ รูปแบบการเรียนคือการให้ชิ้นงาน ให้รายชื่อหนังสือที่ต้องอ่าน ให้นักเรียนไปทำ เวลาใครมีปัญหาอะไรก็ค่อยมาคุยปรึกษากัน แนะนำให้มีการสร้างกลุ่มออนไลน์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ค้นคว้าหรือทำการบ้านร่วมกัน

เรากังวลเป็นห่วงลูกแต่ ลูกๆเราไม่เครียดเลย อันที่จริงตอนนี้ที่นี่โรงเรียนเปิดแล้ว แต่แล้วแต่ความสมัครใจว่าจะไปหรือไม่ไป แต่ก็ยังไม่เปิดเต็มเวลา ยังมีการให้ไปวันเว้นวันเฉพาะวิชาที่จำเป็นต้องเข้าเรียนที่ต้องโต้ตอบกับครู ลูกก็มีวินัยกับงานที่ได้รับมอบหมาย เขาจะทำของเขาเองเป๊ะๆ เราไม่ต้องไปจ้ำจี้จ้ำไช
ตอนนี้โรงเรียนสำหรับเด็กเล็กก็เริ่มเปิด เพราะจะได้ช่วยเหลือพ่อแม่ที่ต้องกลับไปทำงาน ไม่มีใครดูแลลูก ทางสามีเราทำงานอยู่บ้านได้ ก็ทำงานอยู่บ้าน บวกกับการใช้วันพักร้อนได้ด้วย เรื่องรายได้เราก็เลยไม่ได้เดือดร้อนอะไร
ตอนนี้เมืองเปิดบ้างแล้ว แต่ยังมีมาตรการให้ทุกคนใส่หน้ากาก(ที่ตอนนี้หาได้ง่ายแล้ว) ก็ใส่กันอยู่ราวๆ 70 เปอร์เซ็นต์และมีการห้ามสัมผัสใบหน้า หอมแก้ม

คุณแม่ในสถานการณ์โควิด

ลูกคนโตก็สามารถกลับมาบ้านได้แล้ว ความกังวลของเราก็ลดลงมากแล้ว สถานการณ์โดยรวมก็ดีขึ้นมากแล้ว เริ่มได้ยินเสียงรถวิ่งหน้าบ้าน เราก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนเมืองเริ่มเกิดใหม่ คนในเมืองก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดูมีชีวิตชีวาและมีความหวังขึ้น
แต่สำหรับพ่อ แม่ ผู้ปกครองแล้ว โดยรวมยังไม่ค่อยมีใครอยากให้ลูกกลับเข้าไปเรียนในโรงเรียนเท่าไหร่ ที่บ้านเราก็ ตราบใดที่เขายังไม่บังคับก็จะยังไม่ส่งไปโรงเรียนค่ะ#.

ที่มาของเรื่องและภาพ คุณ บุหลันบัณรสี เมืองกัลลาร์ดง ฝรั่งเศส


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน