คอลัมน์ เป็นแม่ไม่ง่าย : ตอน คุณแม่ใจสู้ ที่ต้องดูแลลูก L.D. – โดย…ขึ้นหนึ่งค่ำ

เป็นแม่ไม่ง่าย – “เราไม่รู้จักโรค L.D. เราโทษตัวเองว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดี เครียดจนเป็นโรคซึมเศร้า”

ตอนท้องแรกอายุราว 24 ไม่ค่อยแพ้ท้อง ระหว่างนั้นฝากท้องปกติ ดูแลอย่างดี กินนมบำรุง กินยาบำรุงตามที่หมอสั่งเคร่งครัด ลูกปกติทุกอย่าง จนกระทั่งคลอด ก่อนกำหนดประมาณหนึ่งเดือน วันที่คลอดไม่ได้รู้สึกปวดท้อง แต่มารู้ตัวตอนกลางคืน ที่นอนแฉะ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ตกใจ เพราะเรานึกว่าจะเหมือนในละครที่ต้องปวดท้องมากๆก่อน เช้ามาก็ลงมาจากบ้าน ก็บอกพี่สาวแฟนว่าเป็นไรไม่รู้น้ำอะไรมันไหล เขาก็ตกใจมาก ถามว่าน้ำเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ ให้รีบไป รพ.

พอไปรพ.หมอก็พบว่าปากมดลูกเปิดแล้วฉีดยาเร่งคลอด แต่ปากมดลูกไม่เปิดเลย รอแต่เช้าจนบ่ายแก่หมอตัดสินใจให้ผ่าดีกว่า ก็เลยผ่า ตอนคลอดลูกแข็งแรงปกติ น้ำหนักประมาณ 2700 กรัม นอนตู้อบสัปดาห์หนึ่ง มีอาการตัวเหลืองบ้าง เพราะลูกไม่ได้น้ำนมแม่ในตอนแรกคลอดเพราะนมแม่ยังไม่มา หลังจากนั้นก็ให้กินได้นิดหน่อย กินได้ไม่เยอะ นมไม่มา ในที่สุด เราก็ต้องเสริมด้วยนมผงแทน หลังจากนั้นก็เติบโตแข็งแรงดี

ลูกพัฒนาการตามปกติตามเกณฑ์มาตลอด แต่พอสามขวบกว่าๆเราก็ต้องไปช่วยงานที่ร้าน ก็เริ่มให้ลูกเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน ตอนแรกๆลูกไม่ค่อยมีความสุขกับโรงเรียน ร้องไห้ตลอด เราก็ไปแอบดูลูกที่โรงเรียนทุกวัน เป็นอย่างนี้กันทั้งสองคน (คนที่สองห่างกันราวหกปี) เพราะลูกค่อนข้างติดแม่มากไม่เคยห่างกันเลย

ผลการเรียนลูก(ทั้งสองคน)ไม่ค่อยดีตั้งแต่อนุบาล เขียนช้า เวลาให้นั่งเขียนอะไรก็มีสมาธิไม่ได้นาน เวลาอะไรมากระตุ้นก็จะวอกแวกได้ง่ายมาก ขี้ลืมมากๆ ถ้าไปโรงเรียน ของใช้หายแทบทุกอย่าง รองเท้า แก้วน้ำ แปรงสีฟัน กล่องดินสอหาย หายทุกอย่าง หายเพราะลืมว่าเอาไปวางไว้ที่ไหน

ถ้าเป็นกิจวัตรส่วนตัว เราก็ต้องคอยบอกทุกวัน ไม่งั้นก็ลืม กระทั่งเรื่องอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ ตอนนั้นเราก็หงุดหงิดบ้าง คิดว่าลูกไม่มีวินัย ก็พยายามฝึก พยายามสอน แต่เรื่องเรียนคิดว่าลูกคงเรียนไม่เก่ง คงเป็นอย่างงี้เอง ธรรมชาติของลูกคงเป็นแบบนี้

 

นอกจากนี้ลูกมีอาการนอนละเมอเดิน เช่นลุกขึ้นมาที่สวิตช์ไฟ กดเปิดไฟ ปิดไฟ ตาเหม่อลอย พูดอะไรพึมพำคนเดียว ตาลืมเหมือนตื่นแต่ไม่ตื่น เวลาคนอื่นที่ไม่คุ้นเคยถ้ามาเห็นก็ว่าน่ากลัวเหมือนในหนังผี เป็นมาแต่เล็กๆ เราต้องไปนอนขวางประตูไว้เพราะว่ากลัวลูกเปิดประตูเดินออกไปข้างนอก

มีอยู่วันหนึ่งลูกเดินออกนอกประตูไปนอนบ้านเองคนเดียววันนั้นคนในบ้านเหนื่อยหลับสนิทกันหมด ไม่มีใครรู้เรื่องเลย โชคดีว่าลูกสะดุ้งตื่นเองนอกบ้านและเดินกลับเข้ามาเอง

เวลาผ่านไป ลูกอาการไม่ดีขึ้น บางอย่างแย่กว่าเดิมอีก ทีนี้ก็มีคนรู้จักคนนึงทักมาว่า มันมีโรคนึงที่ทำให้เด็กมีอาการแบบนี้ ลูกเขา(คนที่คุยด้วย)ก็เป็น แต่ตอนนั้นที่ตากยังไม่มีจิตเวชเด็กเราก็เลยพาไปที่โรงพยาบาลที่สุโขทัยที่มีหมอด้านนี้

เราพาลูกเข้าพบคุณหมอ ประเมินไอคิว ทำแบบทดสอบ หมอก็สรุปประเมินว่าลูกเป็นแอลดีและมีอาการสมาธิสั้น ก็นัดฝึกทุกสัปดาห์ และก็จัดให้กินยาสำหรับอาการสมาธิสั้น และยาที่กินเพื่อแก้ปัญหาละเมอเดิน

อาการของลูก ที่เราจำได้คือ ลูกเขียนช้ามาก เขียนหนังสือทั่วไปก็มักเขียนไม่ได้ เขียนผิด เขียนตามครูบนกระดานเขียนว่า กรกฎาคม ก็อาจจะไม่มีสระอา ขาดๆหายๆ ตัวอักษรบางตัว คนเล็กจะเห็นได้ชัดเลยว่าเขียนกลับด้านซ้ายขวา เป็นกับทั้งตัวเลขและตัวอักษร แต่ถ้าให้เขาอ่านหนังสือที่ตัวเองไม่ได้เขียนเองก็อ่านได้ตามปกติแม้จะไม่ค่อยคล่อง

ครูรายงานว่ามีปัญหาด้านการอ่านการเขียน แต่คณิตศาสตร์ไม่เป็นไรคะแนนค่อนข้างดี นอกนั้นก็มีพฤติกรรม คือลูกไม่ค่อยสู้คน ถูกเพื่อนแกล้งบ่อยกลับบ้านลูกมีแต่รอยแผล รอยกัด เป็นตั้งแต่เล็กจนโต ขนาดตอนนี้มัธยมยังมีเพื่อนเอากรรไกรมาตัดนิ้วเป็นแผล ทั้งๆที่ปกติลูกก็มีเพื่อนตามปกติเล่นกับเพื่อนได้ทุกกลุ่ม

ช่วงที่ลูกเป็น L.D. เราเครียดมาก เรารู้สึกว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีหรือเปล่า เพราะตอนนั้นเราก็ไม่เข้าใจโรค เราเครียดจนเป็นโรคซึมเศร้า จนตอนนี้ก็ยังกินยาอยู่ บางทีเราไม่รู้ว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นเพราะนิสัยหรือเพราะโรคของเขา เราไม่เข้าใจ ลูกไม่ดีขึ้นเราก็เครียด บางทีก็ดุ ตะคอกลูก

แล้วก็กลับมานอนร้องไห้เองคนเดียวทั้งคืน เป็นความเครียดสะสมจนในที่สุดเราป่วย ทีแรกเราไม่รู้ตัวว่าเราเป็น แต่วันหนึ่งที่หมอจิตเวชของลูกสังเกต ทักถามขึ้นมาเราก็ร้องไห้โฮเลย ยาวต่อเนื่องราวครึ่งชม. หมอเลยนัดพบจิตเวชให้


ส่วนเรื่องการรักษาลูก เนื่องจากคิวกิจกรรมบำบัดนานมาก เราเลยยอมพาลูกไปทำกิจกรรมบำบัดนอกเวลาสม่ำเสมอขึ้น ทุกวันนี้อาการดีขึ้นแล้ว หมอก็นัดห่างออก ตอนนี้สามเดือนครั้ง เรื่องขี้ลืม เรื่องวินัย ก็เริ่มดีขึ้น ตอนนี้ลูกเริ่มเข้าวัยรุ่น เขาก็จะไม่ค่อยยอมให้เรายุ่งเท่าไหร่ โลกส่วนตัวสูง


ตอนนี้ลูกหันมาเล่นกีฬา เล่นเทควันโดได้สายสีฟ้าแล้ว สุขภาพทั้งกายและใจของลูกก็ดีขึ้นจากการเล่นกีฬา ดูมีความสุข ดูต่างจากเมื่อก่อนมาก ดูแลตัวเอง รับผิดชอบตัวเองได้ดีขึ้นตามวัย แต่เราก็ยังเป็นห่วงเรื่องวินัยและการดูแลตัวเองของลูก ลูกยังมีนอนละเมออยู่ แต่เหลือแค่ลุกมานั่ง พูดอะไรแปลกๆ ไม่ได้เดินออกไปข้างนอกแล้ว


ความคาดหวังของเราที่มีต่อลูกคือแค่อยากให้ดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระหรือสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เขาบอกว่าอยากทำคาเฟ่แมว เพราะลูกเป็นคนชอบสัตว์ เป็นคนอ่อนโยนกับสัตว์และมีความสุขมากเวลาที่ได้เล่นกับแมว อย่างตอนนี้ก็จะขอเลี้ยงแมวในวันเกิด แต่ที่บ้านมีคนแพ้แมวรุนแรงเลยเลี้ยงไม่ได้ อนาคตก็ต้องดูกันต่อไป

คุณแม่ของคนพิเศษ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน