เป็นแม่ไม่ง่าย – “ทีแรกเราให้ลูกเลี่ยงคนแกล้ง แต่ตอนหลังก็สอนให้สู้แล้ว”

ตอนท้องลูกคนนี้ ไม่ได้ไปตรวจครรภ์ตามหมอนัดแค่ครั้งเดียวก่อนคลอด พอมาตรวจอีกทีหมอก็เจอความผิดปกติเลย เราคลอดก่อนกำหนด ลูกตัวเล็กจิ๋วเลย หนักไม่ถึง 1000 กรัม ตัวผอมแดง มีแต่กระดูก นอนอยู่ตู้อบนานเป็นเดือน

หลังจากนั้นก็พัฒนาการตามวัย แต่เขาตัวเล็กกว่าเกณฑ์มาตลอด แม้ว่าเราจะพยายามขนาดไหน ให้กินข้าว กินนมเยอะๆ พยายามให้นอนเร็ว พยายามชวนเดินออกกำลังกายแล้ว แต่ยังไงก็ตัวเล็กจิ๋วกว่าเพื่อน

เข้าโรงเรียนอนุบาล ลูกเราพูดรู้เรื่อง สั่งอะไรก็ฟัง แต่เวลาเล่นกันกับเพื่อนที่ตัวโตกว่า เด็กเล็กยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็มีทะเลาะกันบ้าง แย่งของกันบ้าง บางทีก็เล่นกันเฉยๆนี่แหละแต่ก็ทำให้บาดเจ็บได้ อย่างเผลอไปข่วนกันชนกันล้ม ทำสมุดงานของลูกเราขาดเสียหาย เราก็จะคอยถามลูกถามครูเรื่อยๆ ถ้าเล่นกันถ้าเพื่อนไม่ได้ตั้งใจก็แล้วไป ไม่ได้ติดใจอะไร เด็กเล่นกันก็พลาดบ้างธรรมดา


ทีนี้ในห้องลูก มีเด็กอยู่คนหนึ่ง เป็นเด็กที่ไม่ได้ตัวโตมากนักนะ แต่เสียงดัง ชอบตะโกน ชอบคำรามแล้วโดดพุ่งใส่เพื่อน ลูกเราก็โดนบ่อยๆ กลับบ้านมาบางทีเขียวช้ำเป็นจ้ำ บางทีเป็นรอยข่วนยาวที่แก้ม บางทีหางคิ้วบวมมาเลย เรามองว่าเด็กเล็กอยู่ อาจจะไม่ได้ตั้งใจแกล้งหรอก อาจจะแค่อยากเล่นแต่กะน้ำหนักไม่ถูก ทีแรกเราก็สอนว่าก็เลี่ยงเอาแล้วกัน ถ้าเขาทำท่าจะเล่นแรงก็ไม่ต้องเล่นด้วย หรือไม่ก็บอกไปเลยว่าทำแบบนี้ลูกเจ็บ ถ้าทำอีกจะไม่เล่นด้วย ถ้าเพื่อนไม่ฟัง ยังทำลูกเจ็บอีกก็เดินไปหาครู บอกครู อยู่ใกล้ๆครูไว้ แล้วก็ไม่อยากให้ลูกเกลียดเพื่อนก็จะสอนลูกว่า เพื่อนเขาไม่ได้ตั้งใจ เพื่อนเขาอยากเล่นแต่เล่นแรงไปหน่อย

ไม่ได้บอกแค่ลูก ตอนเช้าเราก็บอกครูด้วยว่ามีแบบนี้ในห้อง ครูก็พูดเหมือนที่เราคิด คือเด็กเล่นกัน แต่ก็บอกเราจะระวังไม่ให้เกิดขึ้นอีก เด็กผู้ชายวัยนี้จะต้องออกแรงเยอะๆสลายพลัง ก็แนะนำให้ลูกเราออกกำลังกายเยอะๆจะได้โตเท่าเพื่อน

ปัญหาลูกเจ็บตัวยังมีมาต่อเนื่อง บางทีเราไปเราเห็นกับตาเลยว่า เพื่อนเตะตัดขา ขัดขาตอนวิ่ง ลูกหงายหลังล้ม ล้มหน้าทิ่มก็มี แต่ลูกเราก็ลุกมาบอกไม่เป็นไร ทั้งที่ตัวเองเจ็บ เพื่อนก็ไม่ขอโทษ ครูก็ไม่เห็นว่าไง ลูกเราตอนท้ายๆของอนุบาล เลยเล่นแต่กับเด็กผู้หญิง เพราะตัวเขาเล็ก เล่นกับเด็กผู้ชายด้วยกันแนวต่อสู้คือเขาจะเจ็บหนัก แล้วเข็ด ก็เลยมาเล่นแบบที่ไม่ต้องเจ็บตัวดีกว่า เล่นขายของ เล่นพ่อแม่ลูก อ่านนิทาน ระบายสี ก็ผ่านอนุบาลไปได้

มาเข้าเรียนประถม แรกๆก็ยังราบรื่นดี เพราะลูกเราก็เป็นคนร่าเริง เป็นมิตร ยิ้มง่าย เพื่อนก็เลยชอบเข้ามาหามาเล่นด้วยอยู่แล้ว แต่มันก็เริ่มมีการรังแกกันอีก ลูกเอาแผลกลับบ้าน เราเห็นทีก็เจ็บไปด้วย เริ่มมีการใช้ของแข็งพวกไม้บรรทัดเหล็กฟาด คิ้วแตก ปากแตก มีเอาดินสอจิ้ม แล้วเราถามลูก เหตุการณ์มันไม่ใช่การเล่นกัน มันคือตั้งใจเดินมาแกล้งลูกเราเลย พอลูกร้องก็หัวเราะกันสนุก


การให้ลูกเลี่ยงเหมือนไม่ได้ผลแล้ว การฟ้องครูก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะพอบอกไป บางทีครูก็มองว่าเป็นเรื่องทะเลาะกัน ลงโทษทั้งสองฝ่ายก็มี หรือต่อให้ลงโทษคนที่แกล้งลูก หลังจากนั้น คนที่แกล้งก็จะยิ่งแกล้งหนักขึ้นอีกเหมือนโกรธลูกเรา บางทีรุนแรงตรงที่ไปผลักกันแถวบันได ถ้าพลาดตกลงมาเป็นอะไรรุนแรงขึ้นมาจะทำยังไง

ลูกเราเริ่มมีอาการเครียด เริ่มไม่อยากไปโรงเรียนแล้ว ร้องไห้ อยากย้ายโรงเรียน เรามาคิดว่าเราสอนลูกผิดไปหรือเปล่า ปัญหาแบบนี้ถ้าย้ายโรงเรียนไปก็อาจจะไม่จบถ้าไปเจอคนที่ชอบรังแกแบบเดิมอีก ลูกจะหนีไปเรื่อยๆเหรอ ย้ายไปเรื่อยๆเหรอ ก็เป็นไปไม่ได้

ในที่สุดพ่อเขาเลยบอกว่าต่อไปนี้ไม่ต้องไปหนีแล้ว ใครแกล้งก็สู้กลับไปเลย ให้คนที่แกล้งเรารู้เลยว่าทุกครั้งที่แกล้งให้ลูกเจ็บ เขาก็ต้องเจ็บตัวด้วยเหมือนกัน ทนเจ็บได้ก็มา ถ้าครูเรียกพบ มีเรื่องจะได้ถือโอกาสคุยไปเลยว่าก่อนหน้านี้ทำไมปล่อยให้เด็กรังแกกัน

เป็นแม่ไม่ง่าย

จริงๆเราไม่ได้เห็นด้วยกับการสู้ตอบ เพราะลูกเราตัวเล็กมาก เรามองว่ามันเสียเปรียบ อันตราย นิสัยแบบสู้มาสู้ตอบถ้าลูกจำไปใช้ตอนโตตอนเป็นวัยรุ่น ถ้าเป็นคนร้ายหรือคนมีอาวุธจะทำยังไง มันตายได้เลยนะ

สรุปแล้วลูกเราก็ลองสู้ตอบจริงๆ ก็ยังมีแผล มีเขียวมีแตกกลับบ้านบ้าง แต่เหมือนคนที่แกล้งก็แกล้งลดลง ตอนหลังย้ายห้อง ไม่ได้เรียนห้องเดียวกับเพื่อนคนเดิมที่ชอบแกล้งแล้ว ก็สบายใจขึ้น ปัญหาโดนแกล้งน้อยลง ลูกมีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น

เรามองว่าปัญหาเด็กรังแกกันในโรงเรียนมันคงแก้ที่เด็กอย่างเดียวไม่ได้ เด็กยังไม่มีวุฒิภาวะ ครูควรจะช่วยกันดูแลด้วย หรือพ่อแม่เด็กที่ชอบแกล้งคนอื่นก็ควรช่วยอบรมลูกตัวเองบ้างว่าไม่ควรรังแกคนอื่น ไม่ใช่ปล่อยให้ฝั่งที่ถูกรังแกหาวิธีเอาตัวรอดอยู่ฝ่ายเดียว

คุณแม่ท่านหนึ่ง กรุงเทพมหานคร


ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน