“พรเทพ อินพรหม”

พูดถึง “ฮอกไกโด” ภาพจำของคนไทยคงคิดถึงภาพทุ่งหิมะขาวปุยสุดลูกหูลูกตา อากาศหนาวเย็นจับใจ หยิบเสื้อ โอเวอร์โค้ตสีสันสดใส เดินใส่ถ่ายรูปกันให้เพลิดเพลิน แวะชิมปูยักษ์ฮอกไกโดเนื้อหวานนุ่ม

ปฏิเสธไม่ได้ว่า นั่นคือเสน่ห์ของเมืองฮอกไกโด เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จำคำพูดหนึ่งที่ใครต่อใครเคยพูดไว้ว่า “เที่ยวญี่ปุ่นไปได้ทุกฤดู ทุกเดือน ทุกเมือง ไม่มีเบื่อ” ในขณะที่ได้รับคำเชื้อเชิญให้ไปฮอกไกโดในช่วงกลางเดือนก.ค.ที่รู้กันดีว่ามีสภาพอากาศร้อนจัด ไม่ต่างจากบ้านเรา จึงต้องขอพิสูจน์ว่า คำพูดนั้นจะเป็นจริงดังว่าหรือไม่

เมื่อเครื่องแลนดิ้งถึงสนามบินนานาชาติชิโตเซ่ พลันเช็กสภาพอากาศ ตัวเลขแตะ 30 องศาเซลเซียสปลายๆ ต้องขอทำใจก่อนเลยว่าทริปนี้จะสนุกอย่างที่คิดไว้หรือไม่ เพราะอากาศคงร้อนเหนียวเหนอะหนะตัว

ประจวบกับหัวหน้าคณะทัวร์พูดชัดถ้อยชัดคำบนรถบัสว่า มาทริปนี้เลิกคิดไปได้เลยว่าจะเจออากาศหนาว ทำเอาต้องเก็บเสื้อแจ๊กเกตที่หวังจะเอามาใช้ เผื่อลมเย็นๆ บางๆ มาปะทะตัวบ้าง เอาไว้ในกระเป๋าเดินทางอย่างเดิม

ด้วยความที่ทริปนี้เป็นการมาดูงานเป็นส่วนใหญ่ สถานที่เที่ยวจึงไปแวะได้ประปราย เลยจับเอาไฮไลต์สำคัญๆ มา สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่เรามักจะเห็น หรือรู้จักกันดี จากสื่อหรือภาพยนตร์ เช่น แฟนเดย์…แฟนกันแค่วันเดียว ภาพยนตร์ไทยสุดโรแมนติก จะให้ความรู้สึกแตกต่างกันแค่ไหน

คลองโอตารุ (OTARU) ด้วยความที่ไม่ใช่ฤดูหนาว และด้วยความที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเกาะ สิ่งที่แวะมาทักทายคณะเราระหว่างเยี่ยมชม คือ “สายฝน” แต่ก็ไม่พลาดที่จะเก็บความประทับใจที่แลนด์มาร์กแห่งนี้ไว้

แม้ว่าความโรแมนติกจะลดน้อยถอยลงไปบ้างตามสภาพที่ฝนตกแบบแฉะ แต่ภาพรวม ต้องนับว่าเป็นสถานที่นักท่องเที่ยว ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

หัวหน้าคณะทัวร์เล่าให้ฟังว่า ในแต่ละฤดูบรรยากาศที่คลองโอตารุแห่งนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในฤดูหนาว จะมีการปั้นตุ๊กตาหิมะ มีการประดับไฟตลอดทาง มาถึงฤดูร้อน อาจจะมีศิลปินมาร้องเพลง หรือมีการมานั่งวาดภาพให้กับนักท่องเที่ยว

คลองนี้ก่อสร้างตั้งแต่ปี 1923 จากการถมทะเลเพื่อใช้ในการเทียบเรือและขนถ่ายสินค้ามาเก็บไว้ในโกดัง แต่ภายหลังมีการยกเลิกใช้ จึงดัดแปลงโกดังมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ร้านค้าต่างๆ มาตั้งขายสินค้า

จากนั้นคณะทัวร์พากันหลบฝนเข้าไปที่ “พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี” ด้านหน้าจะมีนาฬิกาไอน้ำใหญ่ยักษ์ 1 ใน 2 เรือนของโลก อีกเรือนอยู่ที่เมืองแวนคูเวอร์ เพื่อเรียกแขกที่ผ่านไปมา พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีนับว่ามีชื่อเสียง เก่าแก่ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1910 โดดเด่นด้วยผนังอิฐ สีแดง และไฟที่เหลืองนวลตา

ในพิพิธภัณฑ์มีกล่องดนตรีให้เลือกชมเลือกซื้อมากมายกว่า 3,000-4,000 ชิ้น สามารถเลือกเพลง เลือกลวดลายเป็นของตัวเองได้ ในส่วนของราคาหยิบดูแล้วก็ต้องบอกว่าอู้หูคิดหนักเลยทีเดียว โดยพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี เปิดทุกวันตั้งแต่ 09.00-18.00 น.

อีกที่ที่ไม่พลาดไปเก็บบรรยากาศคือหุบเขานรก จิโกคุดาหนิ (JIGOKUDANI) ถ้าใครจำเรื่องแฟนเดย์ฯ ได้ ที่พระเอกนางเอกไปแข่งจ้องตากันบนสะพานไม้ทอดยาวกลางหุบเขาที่มีควันไอน้ำร้อนพวยพุ่งนั่นแหละ หุบเขาเดียวกัน

ในช่วงฤดูร้อน ต้องบอกเลยว่านี่แหละถึงจะเรียกว่า “นรก” ของจริง ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนจัดจากดวงอาทิตย์ปะทะไอน้ำร้อนกลางหุบเขา ไม่ต้องจินตนาการเลยว่าจะเป็นอย่างไร

แต่ถือเป็นอีกสถานที่หนึ่งของเมืองโนโบริเบ็ตซึ ที่ใครมาฮอกไกโดแล้วไม่แวะมาเหมือนกับมาไม่ถึง แม้ว่าจะเป็นช่วง ฤดูร้อน แต่สภาพของธรรมชาติ ต้องยอมรับว่าสวยจริง เดินชมได้อย่างสบายตาตลอดระหว่างการเดินทางเข้าไป เพลิดเพลินกับไอกำมะถันพวยพุ่งตลอดเวลา และบ่อโคลนเดือดที่ผุดขึ้นมาในบางจุด

มาถึงไฮไลต์สำคัญของทริปที่พอจะมีเวลาแวะเที่ยวแบบเต็มๆ วันคือ การเข้าชมทุ่งลาเวนเดอร์ กิจกรรมสำคัญในช่องฤดูร้อนบนเกาะฮอกไกโดที่ทั้ง นักท่องเที่ยวต่างชาติ และนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเองให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชม เรียกว่าปีๆ นึงมีจำนวนนักท่องเที่ยวหลายแสนราย

ทุ่งลาเวนเดอร์ที่แวะเข้าไปอยู่ห่างจากตัวเมืองซัปโปโร นั่งรถบัสออกมาไม่เกิน 2 ชั่วโมง เป็นฟาร์มดอกไม้ “โทมิตะ” (FARM TOMITA) นับเป็นจุดชมดอกลาเวนเดอร์ที่ดีที่สุด เพราะวิวทิวทัศน์ที่สวยงามจากฉากหลังเป็นภูเขาโทกะชิ

หัวหน้าคณะทัวร์เล่าให้ฟังว่า เดิมทีทุ่งลาเวนเดอร์ที่นี่ไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่นัก แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นตั้งแต่ปี 1976 เมื่อบริษัทการรถไฟญี่ปุ่นเลือกภาพท้องทุ่งลาเวนเดอร์ฟาร์มโทมิตะไปอยู่ในภาพปฏิทินประจำปีของการรถไฟ ทำให้มีนักท่องเที่ยว เดินทางมาเป็นจำนวนมาก จากนั้นนักท่องเที่ยวก็เดินทางมาไม่ขาดสายในช่วงฤดูร้อน

ที่นี่ นอกจากทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงที่แทบจะเหมือนพรมสีม่วงที่ปูทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ให้เก็บภาพความประทับใจแล้ว สินค้าทุกอย่างที่นำมาขายให้นักท่องเที่ยวก็ทำมาจากดอกลาเวนเดอร์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์ครีมลาเวนเดอร์ พุดดิ้งลาเวนเดอร์ และดอกลาเวนเดอร์ส่วนหนึ่งจะถูกเก็บเกี่ยวเพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำหอมอีกด้วย

นอกจากดอกลาเวนเดอร์แล้ว ฟาร์มโทมิตะยังมีทุ่งดอกไม้ 7 สี หรือ ทุ่งอิโรโดริ ที่มีทั้งสีม่วง สีขาว สีแดง สีส้ม สีชมพู เป็นสายรุ้งพาดยาวไปตามแนวทิวเขาให้ได้เก็บภาพกันอีกด้วย

เรียกว่า 2 ชั่วโมงที่นั่งรถมาแวะชมความงามของดอกไม้ที่นี่ คุ้มเกินคุ้ม

ก่อนกลับกรุงเทพฯ ทางคณะมีโอกาสแวะชมใจกลางเมืองซัปโปโร สถานที่ ตั้ง ซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ (Sapporo TV Tower) ตั้งอยู่ที่สวนโอโดริ รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายโตเกียวทาวเวอร์ โดยชั้นที่สูงที่สุดสามารถชมวิวเมืองซัปโปโรได้

ที่สวนโอโดริแห่งนี้ ในช่วงเดือนก.พ. ของทุกปีจะจัดเทศกาลหิมะนานาชาติ ที่เมืองไทยขึ้นชื่อในการชนะประติมากรรมสลักน้ำแข็งขนาดยักษ์ แต่พอเป็นช่วงฤดูร้อนถูกแปลงเป็นส่วนหย่อม และจัดแสดงดนตรี สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ

จนจบทริปที่เคยสงสัยว่าญี่ปุ่นเที่ยวได้ทุกฤดูหรือไม่ ก็ได้ คำตอบชัดเจนขึ้น ซึ่งบางอย่างแม้จะไม่ได้เป็นอย่างภาพที่หวัง แต่ประสบการณ์บางเรื่องก็ไปไกลกว่าที่ฝัน

ดังเช่นทุ่งลาเวนเดอร์ ที่ยังคงผลิบานอยู่ในความทรงจำ ไม่รู้ลืม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน