คอลัมน์ หลอน

นทธี ศศิวิมล

หลับไปได้ไม่นานนัก สุชาก็ต้องงัวเงียลุกขึ้นมาเพราะปวดฉี่ นึกโทษตัวเองที่ดันกินนมก่อนนอนเข้าไปกล่องนึงเพราะความเคยชิน เธอค่อยๆ ลุกขึ้น เปิดผ้าห่มออก อากาศหนาวเย็นแทรกเข้ามาสัมผัสผิวกายจนสะท้าน สุชาค่อยๆ เดินออกจากห้องไปยืนที่หน้าประตูห้องนอนของยายเล็กกับตาจอน ยกมือขึ้นจะเคาะประตูตามที่ยายเล็กสั่งไว้ แต่ก็ไม่กล้า ลังเลๆ อยู่พักนึง ความรู้สึกปวดฉี่ก็ทวีขึ้นจนไม่ไหว อากาศหนาวเย็นยิ่งทำให้เธอต้องรีบตัดสินใจเดินกลับไปห้องตัวเอง คว้าเอาไฟฉายกำลังสูงที่พกมาถือติดมาด้วย

ขาไปไม่มีเวลามามองบรรยากาศเพราะสุชากลัววิ่งเข้าห้องน้ำไม่ทัน จนเมื่อฉี่เสร็จเดินออกมาแล้วนั่นแหละ เธอถึงได้เริ่มรู้สึกว่า บรรยากาศรอบตัวมันวังเวง มืด และชวนขนลุกขนพองพอดู โดยเฉพาะต้องมาเดินคนเดียวอยู่แบบนี้

คืนนั้นบรรยากาศเงียบขนาดที่ว่าไม่มีแม้แต่เสียงแมลงกลางคืนร้อง ท้องฟ้าไม่เห็นแสงดาวและพระจันทร์เพราะมีเมฆหมอกหนาเกาะตัวต่ำคลุมอยู่ หนาวและอึดอัดอย่างที่สุชาไม่เคยรู้สึกมาก่อน หญิงสาวใช้ไฟฉายส่องก้าวเดินไปตามทางเดินแคบๆ เพื่อรีบเข้าตัวบ้าน แต่แล้วก็สะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเหมือนเสียงกระซิบกระซาบของใครบางคนดังขึ้นใกล้ๆ ตัว เป็นเสียงกระซิบแหบๆ แหลมๆ เหมือนเสียงหญิงชรา “ฟ่าวปิ๊กไปเหีย… ไปเหีย… ฟ่าวไปเหีย…”

หญิงสาวสั่นสะท้านไปทั้งตัว ทั้งด้วยความหนาวและความกลัวจับขั้วหัวใจ ก้าวขาแทบไม่ออก เธอรู้สึกเหมือนมีใครเดินวนไปวนมารอบตัว แต่ก็ไม่กล้าส่องไฟดู เธอรวบรวมความกล้ารีบจ้ำเดินไปที่บ้านอย่างรวดเร็วจนเดินสะดุดล้มจนขาเจ็บ พอจะลุกขึ้นก็อดระแวงไม่ได้เลยกวาดตามองไปรอบตัว ทำให้มองเห็นเหมือนร่างยายแก่ผมขาวใส่ชุดดำยืนอยู่ไม่ไกล ยืนจ้องหน้าเธอราวกำลังไม่พอใจ ขมุบขมิบปากอะไรบางอย่างเสียงแหบแหลมฟังไม่ได้ศัพท์ หญิงสาวรวบรวมกำลังวิ่งขึ้นบ้านทั้งที่ขาเขยกจนชนขั้นบันไดเสียงดังโครมคราม

ขึ้นไปถึงบนบ้านก็ได้ยินเสียงยายเล็กเปิดประตูออกมาแล้วร้องทักน้ำเสียงร้อนรน“อ้าว หนู ทำไมลงไปห้องน้ำไม่ตามป้าล่ะลูก บอกไว้แล้วนี่นา”

สุชาน้ำตาคลอคลำข้อเท้าที่เจ็บ มือยังเย็นเฉียบแต่เหงื่อแตกเกือบทั้งตัว ยายเล็กเห็นหน้าสุชาก็เหมือนจะเข้าใจว่าไปเจออะไรมา รีบเปิดไฟสว่างแล้วเอายานวดมาทาขาให้ เอาหนังสือสวดมนต์มาให้ แล้วบอกว่า “แม่หลวงซิ่นดำใช่ไหม เขาไม่ทำอะไรหนูหรอกลูก เขาช่วยปกป้องบ้าน ป้องกันคนร้ายๆ หนูไม่ต้องกลัวนะ” แต่นั่นยิ่งทำให้สุชากลัวหนักเข้าไปอีก เธออยากถามเพิ่มว่าตกลงที่เห็นนั่นผีหรือคน แต่ก็กลัวเกินกว่าจะถาม คืนนั้นยายเล็กเสนอให้เข้าไปนอนรวมกันที่ห้องยายเล็กก็ได้ถ้ากลัว แต่สุชาเกรงใจ ยืนยันว่าจะนอนที่ห้องตัวเอง เลยกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เลอะเทอะดินออกเป็นชุดนอน แล้วนอนตะแคงสวดมนต์จนหลับไป

สุชาตื่นมาอีกทีกลางดึก เพราะได้ยินเสียงเดินไปเดินมาสวบสาบข้างล่างเหมือนคนเดินไปเดินมา กลัวก็กลัว แต่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอนอนกระสับกระส่าย อยากจะเห็นให้มันรู้ๆ กันไปเลย ว่ามีหรือไม่มีอะไรกันแน่ เธอจึงเอาไฟฉายกำลังสูงส่องลงไปดูทางหน้าต่าง และมองเห็นยายแก่ซิ่นดำคนเดิม ยืนนิ่ง จ้องเขม็งขึ้นมาที่เธอ ดวงตาวาวโรจน์เหมือนกำลังโกรธ ริมฝีปากแดงกว้างแดงฉ่ำเหมือนเคี้ยวอะไรสักอย่างพลางพูดกระซิบกระซาบ “ฟ่าวไปเหีย… ปิ๊กไปเหีย…”

สุชาสะดุ้งวาบ ขนลุกทั้งตัว เธอรีบปิดหน้าต่างและเปิดไฟทั้งห้องสวดมนต์ทุกบทที่จำได้ สั่นไปทั้งตัว เข้าใจคำว่ากลัวจนจับไข้ก็ตอนนั้นเองเพราะจู่ๆ ก็ทั้งร้อนทั้งหนาวสลับกันไปมาราวกับป่วยหนัก

หญิงสาวนอนไม่หลับจนเช้า ได้ยินเสียงไลน์เตือนถึงได้รู้ว่าสัญญาณเน็ตกลับมาแล้ว และในไลน์ก็คึกคักมาก เพราะทุกคนที่ออนอยู่ต่างพากันเข้ามาบอกสุชาว่า อย่าไปยุ่งกับต้นไม้ต้นนั้น เพราะเขาเรียกว่าว่านค้างปอน เป็นว่านแนวไสยศาสตร์ เลี้ยงผีไว้ในหัวว่านเพื่อเฝ้าบ้านจับขโมย โดยต้องเลี้ยงด้วยการเซ่นไข่ไก่สดทุกวัน หรือถ้าจะให้ดุและแรงก็ต้องเชือดไก่เลี้ยง ว่ากันว่าผีดุมาก มักออกมาปรากฏตัวในร่างยายแก่นุ่งซิ่นดำเสื้อดำ หรือไม่ก็หมาดำแมวดำขนาดยักษ์เพื่อข่มขู่ขโมย

สุชาอ่านแล้วใจหายวาบ หมดอารมณ์ชิล อารมณ์จะเที่ยวต่อแล้ว และเมื่อฟ้าสว่างเต็มที่เธอก็รีบไปลายายเล็กกับตาจอนกลับ โดยไม่รั้งรอ แถมกลับมาถึงบ้านที่กทม. เธอยังวานให้เพื่อนผู้ชายช่วยลบภาพที่เธอไปถ่ายไว้ที่ลำปางออกให้หมด ตัวเองก็ยังไม่กล้าเปิดไฟล์ภาพเหล่านั้นดูซ้ำ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะกลัวว่าเปิดมาแล้วจะไปเจอเข้ากับภาพที่ถ่ายติดแม่หลวงซิ่นดำปากแดงเถือกน่าขนลุกขนพองคนนั้นเข้าน่ะสิ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน