“นทธี ศศิวิมล”

ยายผมแกชื่อฟื้น ยายแข็งแรงดี แม้จะล่วงเข้าวัย 90 ปีแต่ยายยังชอบเดินเข้าบ้านนั้นบ้านนี้ นั่งคุย ช่วยทำอาหาร สติสตัง ความจำดี เชื่อไหมยายเล่นไลน์เป็น รู้จักคอมพิวเตอร์ รู้จักมือถือ ไวไฟ บลูทูธนี่ปกติเลย ยายตรวจลอตเตอรี่จากมือถือทุกงวด

“ตอนบ่ายยายนั่งเด็ดผักบุ้งแล้วค่อยๆ เอนลงหมดสติ เลยรีบพายายไปอนามัย หมอที่อนามัยบอกว่ายายเสียแล้ว พี่โทร.มาบอกแกให้รีบกลับบ้าน” พี่สาวผมเล่าขณะผมรับสายอยู่ที่ทำงาน วันนั้นว่าจะทำโอทีพอดี สายพี่สาวก็เข้ามาผมเลยรีบบอกหัวหน้าแล้วขึ้นรถไปอนุสาวรีย์นั่งรถตู้กลับบ้านที่มหาชัยทันที

มาถึงบ้านก็ใกล้สามทุ่มแล้ว พ่อตั้งใจคืนแรกสวดที่บ้านก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยยกศพไปตั้งที่วัดสวดอีกสี่คืนแล้วค่อยเผา พระยังไม่มา คืนแรกสวดดึกกว่าที่วัด แต่คนรู้จักและเพื่อนบ้านก็มากันเยอะแล้ว เป็นงานศพที่ครึกครื้นดี เพราะตอนยายยังไม่ตาย ยายสั่งว่างานศพยาย อย่าเศร้า ขอให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส

วันนี้จึงมีคนใส่เสื้อผ้าตามที่ยายสั่งไว้เยอะแยะ มีบ้างที่ลืมและไม่ทราบ ที่บอกว่านึกว่ายายพูดเล่นก็มี ยายเป็นผู้บริจาค รายใหญ่ให้กับราชการเสมอ ยายใจดี ยังชอบแจกทุนการศึกษาให้โรงเรียนของอำเภอเราทุกปี ครอบครัวเราไม่ได้ยากจน ยายมีลูกเยอะหลานแยะ แต่ละคนก็ไม่ได้ลำบากยากจนหรือทำตัวเป็นที่รังเกียจของสังคม งานศพยายคืนแรกนั้นจึงมีคนมากันแน่นบ้าน ล้นออกมาในซอย เก้าอี้ที่แต่ละบ้านขนมาช่วยกัน

นอกเหนือจากขนจากวัดยังไม่พอเลย ขนมนมเนย อาหารคาวหวานที่แม่เตรียมไว้ก็ไม่พอ พ่อบอกคืนพรุ่งนี้ที่วัดจะมีวงดนตรีมาเล่นสนุกๆ หน้าศพด้วย ผมดูรายรอบ บรรยากาศเหมือนงานแต่งงานเสียมากกว่า

พระสวดอภิธรรมจบแรกก็ตามธรรมเนียม ขนมนมเนยอาหารคาวหวานที่มีก็ยกขนกันมาเลี้ยงคนมางาน หลังจากตอนเย็นก่อนสวดมีการเลี้ยงไม่จำกัดแก่คนมาร่วมงานอยู่แล้ว ผมกำลังโทร.เล่าให้แฟนผมเรื่องบรรยากาศและคนมาร่วมงานเพราะเธอมาไม่ทัน มันฉุกละหุก จู่ๆ ก็มีคนร้องเสียงตกใจ จากนั้นคนที่อยู่ด้านหน้าโลงศพก็มองและหลายคนก็ชี้ไปยังโลงยาย เพราะเกิดเสียงตึงตังดังจากในโลง

เมื่อเสียงดังขึ้นๆ คนภายนอกก็วิ่งตามกันเข้ามาดู แปลกที่กว่าคนแรกจะตะโกนว่า “ผียายหลอก” ก็หลายนาที ผมเองวิ่งไปทันได้ยินเสียงตึงตังดังจากในโลง มีผู้ชายคนหนึ่งสติแข็งกว่าใครวิ่งไปที่หน้าโลงยาย แล้วหันมาตะโกนว่า มีเสียงยายด้วย

จากนั้นผมเห็นเขาใจกล้ามากที่แนบหูกับโลง เขาบอกทุกคนอย่างหน้าตาตื่น “ยายอาจยังไม่ตาย ฟังสิ” คำพูดของแกพาเอาผู้ชายและผู้หญิงอีกหลายคนไปร่วมมุง

“ยายอาจจะฟื้นก็ได้นะ” ใครคนหนึ่งร้องขึ้น

แล้วก็จริง มีคนที่แนบหูกับโลงตะโกนว่า “ยายแกร้องว่าช่วยกูด้วย เอากูออกไปหน่อย”

เท่านั้นแหละที่แม่และพ่อพากันไปอยู่หน้าโลงและสั่งให้ไปตามสัปเหร่อมา อีกไม่กี่อึดใจสัปเหร่อก็มาพร้อมเด็กวัดและช่วยกันงัดฝาโลง

เมื่อฝาโลงเปิดออกก็เห็นยายดิ้น ยายโยนสำลีก้อนหนึ่งกระเด็น “ไอ้ห่าราก ใครวะ เอาสำลียัดจมูกกู” ทีนี้แหละมีทั้งคนที่แตกตื่นลุกหนีกับคนที่ออกันเข้ามามุงมีจำนวนเท่าๆ กัน

ผมได้ยินพ่อพูดว่า “แม่ใจเย็นๆ ค่อยๆ ลุก” พ่อประคองยายลุกนั่ง

หมอมาถึง แกรีบจับชีพจรที่ข้อมือยายแล้วร้องเสียงดัง “ยายฟื้นแล้ว”

“ชิบหาย กูยังไม่ตาย จะฟื้นได้ไง” ยายร้องเสียงดัง

ใครบางคนตะโกนว่า ฟื้นสมชื่อแล้วก็ร้องโห่ฮิ้ว เสียงดีใจเสียงปรบมือก็ดังตามมา หมอเป็นคนแรกที่พูดบอกว่า “พายายไปโรงพยาบาลตรวจก่อน”

ที่โรงพยาบาลยายถามหาคนยัดจมูกยายด้วยสำลี มีคนบอกว่า อีก้อยเป็นคนยัด “ที่รูก้นกูด้วยใช่ไหม อีก้อย” ยายตวาด อีก้อยก็คือน้าสาวผม ลูกสาวคนเล็กของแม่

หมอสรุปอย่างดีใจว่า ดีที่ไม่มีการฉีดยาศพ ไม่งั้นยาก็คงไปแทนเลือดและยายก็จะตายจริง สองสำลีที่น้าก้อยยัดเข้าทวารทั้งหมดยัดไม่แน่น พอยายฟื้นที่จมูกเลยพอดึงออก และลืมยัดเงินใส่ปากศพยายด้วย ทำให้เป็นการดีทั้งหมด

ยายมีชีพจรกลับคืนมา ความดันก็ปกติ ประโยคแรกๆ ที่ยายพูดก็คือ “กูฟื้นขึ้นมาเพื่อบอกหวยพวกมึง 91 จำไว้ งวดนี้” ยายพูดตลกแหละ เพราะตอนแรกแกยังไม่รู้เลยว่าได้ตายไปแล้วฟื้น แกนึกว่าตัวเองหลับไป

งวดนั้นออกเลขท้ายสองตัว 91 จริงๆ ถูกกันไปเยอะ ทว่ารุ่งขึ้นยายก็เสียชีวิตจริงๆ คราวนี้ยายนั่งแล้วก็ล้มลงเหมือนหนแรก ร่างยายถูกวางไว้ที่บ้านจนผ่านไปสามวันยายก็ไม่ฟื้นเหมือนหนแรก เริ่มมีกลิ่น มดเริ่มไต่ตามตัว คืนนั้นฝนตกด้วย หมาก็หอนไม่หยุด ท้องยายโตใหญ่เหมือนลมอยู่ในท้อง เนื้อตัวยายก็เย็นและแข็ง หมอตรวจร่างกายอีกครั้งก่อนจะยืนยันหนักแน่นว่าหนนี้ยายตายจริงๆ ไม่ฟื้นแน่นอน มีการเรียกหมอจากโรงพยาบาลในจังหวัดมาตรวจยืนยันร่วมด้วย เพราะการฟื้นหนแรกทำให้อยากจะเชื่อกันว่ายายจะฟื้นอีก

งานศพยายจริงๆ จึงเต็มไปด้วยเรื่องเล่าเรื่องนี้และเล่าต่อกันมาในหมู่ญาติและครอบครัวผมอีกหลายปี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน