โดย Coolerist เว็บไซต์ thaigamewiki.com

Destiny ภาคแรกวางจำหน่ายในปี 2014 ถือว่าเป็นเกมฟอร์มใหญ่ที่มาแรงที่สุดเกมหนึ่งในปีนั้น ด้วยชื่อเสียงของทีมพัฒนาอย่าง Bungie ที่ชื่อชั้นการันตีคุณภาพ ทั้งยังมาร่วมมือกับ publisher มือหนึ่งอย่าง Activision ที่ทุ่มทุนสร้างด้วยงบกว่า 500 ล้านเหรียญ(ซึ่งน่าจะเป็นงบโฆษณามากกว่านำไปใช้พัฒนาเกมจริงๆ) พร้อมประกาศเปิดตัวว่าจะเป็นเกมแนวในที่ปฎิวัติวงการในฐานะ Game as a service คือต่อจากนี้ วีดีโอเกมจะไม่ใช่แค่เล่นให้จบเนื้อเรื่อง หรือวนเวียนอยู่กับโหมดมัลติเพลเยอร์จนหมดอายุเกมในตลาดภายในระยะเวลาไม่กี่ปี แต่มันจะเป็นการให้บริการต่อเกมเมอร์อย่างต่อเนื่องถึง 10 ปี ทุกอย่างจะเติบโต และดำเนินเรื่องไปพร้อมๆ กับผู้เล่น จักรวาลใหม่ ผู้กล้าหน้าใหม่ และภัยอันตรายใหม่ ที่พวกเราจะได้สำรวจ ต่อสู้ และเฝ้าดูมันขยายตัวออกเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ช่างเป็นเรื่องที่น่าทึ่งและน่าติดตามอย่างมากในตอนนั้น

แต่เมื่อได้ลองสัมผัสผมก็พบว่า Destiny ภาคแรกมีทั้งข้อดีข้อเสียที่มากพอๆ กัน ในด้านหนึ่งตัวเกมมีพรีเซ็นเทชั่นที่สุดยอด คืองานภาพกราฟฟิกสวยงาม ดนตรีประกอบอลังการ กันเพลย์ระดับพระกาฬที่มีแต่ยอดฝีมือในแนวชู้ตติ้งเท่านั้นที่ทำได้ เมื่อนำมาประกอบกับระบบ loot game ในสไตล์ RPG ที่ผู้เล่นจะต้องออกผจญภัยทำภารกิจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อตามหาอาวุธ ชุดเกราะที่ดีที่สุด มันก็ทำให้เราติดเกมนี้ได้ไม่ยาก และสุดท้าย Raid ที่เป็นนวัตกรรมของสุดยอดการออกแบบเกมเพลย์ที่เอกอุ สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับเกมในรูปแบบ co-op ที่หาอะไรมาทัดเทียมไม่ได้เลย

แต่อีกด้านหนึ่งนั้น Destiny มีเนื้อเรื่องที่เบาบางจนแทบจะจับต้องไม่ได้ การเล่าเรื่องก็ทำได้แย่เอามากๆ ไร้อารมณ์ไร้วิญญาณ ไม่น่าติดตามเอาเสียเลย เล่นเกมจนจบก็ไม่พบความคืบหน้าว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ได้แต่อุทานว่า “อะไรวะ” เบาๆ ซ้ำร้ายเกมยังจ้องจะขาย Expansion Pass ให้กับผู้เล่นตั้งแต่วันแรก ซึ่งหลังจากซื้อไปพบว่ามันเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของ DLC ทั้งหมดที่เกมมีให้ นั่นหมายความว่าใครอยากได้ประสบการณ์แบบเต็มๆ ของเกม ก็จะต้องซื้อ ตัวเกม + DLC อีก 4 ตัวด้วยกัน จึงจะได้ประสบการณ์การเล่นที่สมบูรณ์แบบ

โหมดมัลติเพลยเยอร์ ที่เกมเรียกว่า Crucible ก็จัดว่าค่อนข้างสับสน เพราะผู้เล่น 12 คน ประเคนอาวุธที่ทรงอาณุภาพใส่กันแทบตลอดเวลา ทั้งจรวดเอย โยนทั้งระเบิด สแปมท่าไม้ตายสุดยอดกันให้วุ่นวายไปหมด แต่ละอย่างรัศมีการทำลายล้างวงกว้างทั้งนั้น ทำให้มันกลายเป็นสนามรบที่โกลาหล แต่ก็ถือว่าเอาไว้เล่นเพลินๆ แบบไม่ต้องคิดมากได้

เมื่อถึงวันที่ Destiny 2 วางจำหน่ายในอีกสามปีให้หลัง เกมเมอร์ก็คิดว่าทั้งตัว developer และ publisher น่าจะเตรียมตัวทำการบ้านมา เพื่อที่จะปรับปรุงพัฒนาเกมและซีรี่ส์ให้สมกับที่โฆษณาว่าใช้เงินพัฒนามากที่สุดในโลก ซึ่งก็ต้องชมว่าหลายๆ อย่างในภาคที่สองนี้ถูกปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าภาคแรก แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายอย่างที่การดีไซน์ตัวเกมก็ทำให้อดสงสัยถึงคุณภาพของมันไม่ได้

เริ่มต้นกันที่งาน presentation ที่ยังนับว่ารักษามาตรฐานอันยอดเยี่ยมเอาไว้ได้ กราฟฟิก ดนตรีประกอบ บรรยากาศ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ ยังทำให้ผู้เล่นดื่มด่ำได้อย่างอิ่มเอมตระการตาเช่นเคย กันเพลย์ของเกมก็ยังคงสุดยอด ผมยังรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เหนี่ยวไก แล้วเห็นเหล่าศัตรูร้ายจากทั่วจักรวาลระเหยแห้งกลายเป็นวิญญาณที่ปลิดปลิวออกจากร่าง

ระบบเกมหลายอย่างได้รับการพัฒนาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เล่น เช่นการที่เราสามารถกำหนดจุดลงจอดของยานเวลาไปเยือนดวงดาวต่างๆ ทำให้สามารถเลือกที่จะเดินทางให้ใกล้เป้าหมายที่เราต้องการจะไปได้โดยไม่ต้องเดินเท้าหรือขี่ sparrow ให้ไกลนัก ระบบเลเวลของเกมยังคงใช้ค่า Light เป็นตัวบ่งชี้ความแข็งแกร่งของตัว Guardian อยู่เช่นเคย โดยอาวุธ หรือเครื่องป้องกันที่เลเวลสูงจะมีค่า Light ที่สูง ทำให้ผู้สวมใส่นั้นเก่งกาจมากขึ้นตามไปด้วย

สิ่งที่แตกต่างชัดเจนคือเราไม่ต้องเก็บเลเวลของไอเทมต่างๆ แบบแยกชิ้นแล้ว แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาคือระบบ infuse หรือการตีบวกไอเทมที่เรามี โดยนำไอเทมที่ด้อยกว่ามาเสริมความแข็งแกร่งเข้าไปให้ค่า Light สูงขึ้น และระบบ Mods ที่ผู้เล่นจะใช้ไอเทมเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาวุธ-และชุดเกราะที่มีอยู่ได้ ทำให้ไอเทมดรอปในภาคนี้มีสกิลที่ตายตัว ประหยัดเวลาให้เราไม่ต้องทำภารกิจเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อหาไอเทมชิ้นเดิมแต่สกิลติดไอเทมที่เปลี่ยนไป แต่จะให้อิสระผู้เล่นในการตามหา mods มาใส่เองได้ตามใจชอบแทน

เกมยกเครื่องระบบการรับเควสย่อยใหม่ ไม่มีการรับ-ส่ง Bounty ให้วุ่นวายอีกแล้ว แต่เกมจะให้รางวัลผู้เล่นจากกิจกรรมทุกอย่างที่เราทำ ชอบลุยเดี่ยวเหรอ? เกมมีรางวัลให้, ลองสำรวจดวงดาวในภารกิจ Patrol หรือ ทำ Challenge ดูสิ, จับกลุ่มกับเพื่อน 3 คน ปราบบอสยากๆ ในเควส Strike หรือ Nightfall ก็ได้, ชอบ PVP เหรอ? ลง Crucible ไปสู้กับผู้เล่นคนอื่นๆ ได้เลย, ได้อาวุธชุดเกราะที่ไม่ต้องการมาก็ย่อยทิ้งไปซะ กิจกรรมต่างๆ เหล่านี้จะให้รางวัลกับผู้เล่นเป็นเหรียญตราชนิดต่างๆ เอาไปแลกกับ NPC เป็นของรางวัลได้ ไม่ว่าคุณจะชอบกิจกรรมอะไร แนวไหนในโลกของ Destiny 2 เกมมีรางวัลให้คุณเสมอ

ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นต้องบอกว่าได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดในด้านของวิธีการเล่าเรื่อง เราได้พบกับคาแรกเตอร์ที่หลากหลาย และน่าสนใจขึ้นมาก มีต้น มีกลาง มีท้ายเรื่องชัดเจน แต่ปัญหาของมันเองกลับอยู่ที่เนื้อเรื่องที่ย่ำอยู่กับที่จนเมื่อเล่นจบก็ยังคงอุทานได้แค่ว่า “อะไรวะ” เหมือนเดิม

เหตุการณ์ของภาคนี้เริ่มต้นเมื่อ Ghaul ขุนศึกแห่ง Red Legion ของเหล่า Cabal เป็นศัตรูร้ายตัวหลักที่พยายามจะถูกสร้างให้เป็นตัวละครที่น่าเกรงขามและมีปมซับซ้อน เมื่อเริ่มต้นเกมเขาถูกปูเรื่องมาให้ดูน่าสนใจทีเดียว ทั้งด้านฝีมือความร้ายกาจบุกทำลายที่มั่นของเหล่าการ์เดี้ยนลงได้อย่างง่ายดาย และวัตถุประสงค์ที่ดูลึกลับซับซ้อนว่าต้องการพิสูจน์ตัวว่าเขานี่แหละคือบุคคลที่คู่ควรกับ พลัง ของเหล่า Traveler เผ่าพันธุ์ต่างดาวที่เป็นผู้มอบพลังแห่งแสงสว่างให้กับเหล่าการ์เดี้ยน ดูเหมือนทีมพัฒนาพยายามจะวางโคตรเรื่องเอาไว้ได้ดี แต่เอาเข้าจริงกลับคลี่คลายกลายเป็นจืดชืดไปอย่างน่าเสียดาย เราในฐานะผู้เล่นก็ยังคงไม่ทราบว่า เรากำลังจะเดินทางไปสู่จุดใดของเนื้อเรื่อง และในอนาคตมันจะจบลงเช่นไร ราวกับว่าไม่มีอะไรคืบหน้าในเส้นเรื่องของ Destiny เลย

จุดนี้อาจจะเป็นประเด็นที่ไม่มีคนสนใจมากนัก หลายคนอาจจะมองข้ามมันไปโดยสิ้นเชิง แต่สำหรับผมเนื้อเรื่องที่รองรับเกมเพลย์ ความสมเหตุสมผลของมัน ที่มาที่ไปที่น่าติดตาม มันคือโครงหลักที่แบกความรู้สึกมีส่วนร่วมของผู้เล่นเอาไว้ หากมันทำออกมาได้ไม่ดี ผู้เล่นไม่อินตามและเอาใจช่วยตัวละคร ทุกด่าน ทุกมิชชั่น loot ทุกอย่างที่ดั้นด้นหามา จะไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะเดิมพันในเรื่องราวมันอ่อนเกินว่าที่น่าจะใส่ใจ และกลายเป็นความไม่น่าจดจำในที่สุด

ยูนิตฝ่ายศัตรูของ Destiny 2 ถือว่าพัฒนามาน้อยมากจากภาคแรก ศัตรูทั้งสี่เผ่า Cabal, Fallen, Hive และ Vex รวมไปถึง Taken ก็ยังคงหน้าตาเหมือนเดิม และใช้กลยุทธเดิมในการต่อสู้กับเรา แม้แต่ตัวละครของผู้เล่นเองหรือเหล่า

การ์เดี้ยนทั้งสามคลาส Titan Hunter และ Warlock ก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย อาจจะมี subclass ใหม่ที่เปลี่ยนชื่อและรูปลักษณ์ไปบ้าง แต่เนื้อแท้ของมันจริงๆ ก็ยังทำหน้าที่คล้ายเดิมอยู่ดี ซึ่งผมค่อนข้างผิดหวังมากตรงจุดนี้

Crucible หรือโหมด PVP เปลี่ยนแปลงไปมากพอควร จากแต่เดิมที่เป็นแมตช์ 6v6 ก็กลายเป็น 4v4 ปรับอัตราการใช้ท่าไม้ตายให้น้อยลง กระสุนสำหรับอาวุธหนักมีค่อนข้างน้อยมากและเป็นทรัพยากรที่ต้องแย่งชิงกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ทำให้มัลติเพลเยอร์ของภาคนี้ค่อนข้างมีโฟกัสมากขึ้น ไม่มั่ว ไม่วุ่นวาย และใช้แทคติกมากขึ้น ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าเป็นเรื่องดีเพราะมันทำให้ผู้เล่นต้องวางแผนและใช้สมองมากกว่าเก่า แต่ก็เข้าใจได้ว่าน่าจะมีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่คิดถึงความอลหม่าน ดุเดือด ตูมตามโครมครามแบบภาคเก่า ซึ่งไม่มีผิดมีถูก อยู่ที่ใครชอบแบบไหนมากกว่าเท่านั้นเอง

และหากใครได้เล่น Destiny แล้วไม่ได้ลง Raid ก็เหมือนกับว่ายังไม่ได่เล่น Destiny ในภาคนี้ Raid ตัวใหม่มีชื่อว่า Leviathan (ลิไวอาทัน) สำหรับใครที่ไม่เคยเล่นซีรี่ส์นี้มาก่อนอธิบายง่ายๆ ว่า Raid คือ โหมด PVE ที่ผู้เล่นจะต้องรวมกลุ่มกันให้ได้ 6 คน เพื่อตะลุยผ่านดันเจี้ยนสุดหินที่นอกจากจะเต็มไปด้วยศัตรูร้ายกาจ แต่มันยังมี puzzle มากมายหลายชนิดให้ผู้เล่นขบคิดเพื่อหาทางไปต่อ ในคราวนี้เราจะได้บุกวังทองของอดีตจักรพรรดิคาบาล Calus ที่ถูก Ghaul โค่นอำนาจลง ที่นี่เราจะได้สัมผัสกับสุดยอดประสบการณ์การเล่นที่ต้องรวบรวมทุกอย่างจากการเล่นเนื้อเรื่องหลัก เวลาหลายสิบชั่วโมงในการหาสุดยอดอาวุธ การประสานงานการวางแผน และความช่างสังเกตุมาพิชิตบอสตัวสุดท้ายของเกมนี้ ซึ่งถือว่าทำออกมาได้สนุก ยาก และยอดเยี่ยมสมศักดิ์ศรีของ Raid ดีทีเดียว

น่าเสียดายที่ว่าในปัจจุบัน หลังจากจบ Raid แล้ว ตัวเกมยังมีกิจกรรมให้ทำไม่มากนัก เราอาจจะหาของต่อไปเพื่อเพิ่มค่า Light ที่ปัจจุบันตันอยู่ที่ 305 และเชื่อว่าน่าจะขยายออกไปอีกอย่างแน่นอนเมื่อเหล่า expansion ต่างๆ ทยอยออกวางจำหน่าย และนี่คือปัญหาของ Destiny 2 สำหรับผม

คือเกมห่วงขาย DLC มากเกินไปจนรู้สึกว่าเนื้อเกมที่เราได้รับ มันน้อยเกินกว่าที่ควรจะเป็น Destiny วางตำแหน่งตัวเองให้เป็นเกมที่จะให้บริการผู้เล่นถึง 10 ปี แต่สามปีหลังจากที่เกมภาคแรกวางจำหน่าย เนื้อหาในส่วนของภาคแรกก็โดนตัดทอนออกไปโดยสิ้นเชิง น่าเสียดายที่เราจะไม่มีโอกาสได้ตะลุยดาวดวงเก่าอย่าง ดวงจันทร์ ดาวอังคาร หรือดาวศุกร์ หรือกลับไปเล่น Raid ที่ยอดเยี่ยมอย่าง Vault of Glass, Crota’s End, Wrath of the Machine หรือ King’s Fall อีกแล้ว

และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับเกมในยุคนี้อย่างระบบ Microtransaction หรือระบบเติมเงินจริง เพื่อซื้อไอเทมภายในเกม ซึ่งในภาคนี้คือ Bright Engram ที่ภายในจะบรรจุ Shadder, Emote(ท่าทางตัวละคร), ยานอวกาศและ Saprrow รวมไปถึง Exotic Ornament ไอเทมสำหรับเปลี่ยนหน้าตาอาวุธ-ชุดเกราะของเราหรือจะเรียกง่ายๆ ว่า สกินปืน-เกราะก็ได้

Shadder คือ ไอเทมสำหรับย้อมสีตัวละครของเราให้เป็นสีต่างๆ ซึ่งจากภาคที่แล้วสีย้อมผ้าเหล่านี้เป็นของที่หาได้จากการเป็นของรางวัลในการทำเควสหรือซื้อด้วยเงินภายในเกม แต่ในภาคนี้อาจจะได้จากดรอปหรือซื้อด้วยเงินจริง ฟังดูอาจจะไม่แย่นักจุดที่น่าสนใจคือมันเป็นไอเทมแบบใช้แล้วทิ้งต่างจากภาคก่อนที่ได้แล้วได้เลย แถมใช้ 1 ครั้งก็ย้อมสีได้แค่ชิ้นส่วนเดียวเท่านั้น หากเราต้องการให้เกราะของเรามีสีสันเข้าชุดกัน เราอาจจะต้องใช้ Shadder 5-6 ชิ้นด้วยกัน

หาก Destiny ภาคแรก ไม่ทำอะไรให้คุณประทับใจมากก่อนเลย Destiny 2 ก็ไม่น่าเปลี่ยนใจคุณได้ ถ้าคุณชื่นชอบภาคแรกที่ระบบและเกมเพลย์ หรือไม่เคยเล่นซีรี่ส์นี้มาก่อนเพราะมันเป็น console exclusive ผมคิดว่าคุณจะหลงรักภาคนี้ได้ไม่ยาก แต่ถ้าคุณคือแฟนที่กำลังมองหาความแปลกใหม่และมองหาสิ่งที่ขาดหายไปบางอย่างจากภาคก่อน ผมคงต้องขอบอกว่าเกมนี้คงทำให้คุณผิดหวัง

Destiny 2 คือคุณภาพขั้นต่ำที่ Destiny ภาคแรกควรจะเป็น และมันควรจะขยายจักรวาลของเกมให้กว้างไกลออกไป มากกว่ารีไซเคิลคอนเท้นต์เดิมมาใส่ในเกมภาคใหม่ มันเปลี่ยนแปลงน้อยเกินไปและยังไม่ดีพอสมชื่อ Destiny 2 แน่นอนว่าอีก 6 เดือนหรือหนึ่งปีหลังจากนี้ DLC และ อัฟเดตต่างๆ คงจะออกมาปรับปรุงเกมให้ดียิ่งขึ้น แต่ถ้าตัดสินกันในวันนี้ ผมคงต้องบอกว่ามันเป็นภาคต่อที่น่าผิดหวังจริงๆครับ

คะแนน 3.5 ดาว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน