“นทธี ศศิวิมล”

ก่อนหน้าพี่ชายผมจะป่วยนั้น ผมไม่เคยมาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดมาก่อนเลย ได้ยินคนแถวบ้านเล่ากันมาว่าโรงพยาบาลประจำจังหวัดเขาเรียกกันว่าโรงฆ่าสัตว์ ใครเจ็บใครป่วยไปถึง โรงพยาบาล หากได้นอนแอดมิตแล้วเป็นอันต้องตายไม่ต่ำกว่าครึ่ง ค่าที่สถานที่ เครื่องไม้เครื่องมือ และบุคลากรทางการแพทย์ไม่ค่อยเพียงพอต่อจำนวนคนไข้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่กระนั้น เมื่อพี่ชายป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งปอด การรักษาที่ร.พ. ชุมชน ก็ย่อมไม่เพียงพอ หมอจึงส่งตัวต่อมารักษาที่นี่

เช่นเดียวกับโรงพยาบาลรัฐทั่วไป พี่ชายผมนอนในห้องรวมกับผู้ป่วยเรื้อรังเหมือนกับอีกหลายคน พี่ชายเป็นคนเดียวที่ไม่ได้สตินานแล้ว และต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ญาติผู้ป่วยเตียงอื่นๆ เดินไปเดินมากันก็จะแวะเวียนมาถามอยู่บ่อยๆ ว่าป่วยเป็นอะไร ทำนองเล่าระบายความทุกข์ให้กันฟัง ผมอยู่ว่างๆ เบื่อๆ ก็หาเรื่องชวนคนโน้นคนนี้คุย ช่วงเวลานั้นแหละที่ผมได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับพยาบาลห้องดับจิตที่ชื่อจันทร์เพ็ญ ที่ตายไปเมื่อหลายเดือนก่อน

ว่ากันว่าพยาบาลจันทร์เพ็ญ เคยเป็นพยาบาล ที่ใจดีมาก หน้าตาสวย อายุราว 47 ปี เวลามีคนไข้เสียชีวิตตอนกลางคืน บางทีญาติๆ คนที่เสียใจ ขวัญเสีย ทำอะไรไม่ถูก พยาบาลจันทร์เพ็ญก็จะคอยช่วยเหลือดูแลประสานงาน ทั้งเรื่องการพาไปที่ตึก 16 ซึ่งเป็นตึกที่ทำธุระจัดการศพทั้งอาบน้ำศพ ฉีดฟอร์มาลิน ระหว่างทางเดินระหว่างตึกผู้ป่วยไปตึก 16 นี่แหละครับที่เขาเล่ากันให้แซ่ด เพราะระยะทางระหว่างตึกผู้ป่วยในไปถึงตึก 16 นั้น ตั้งอยู่เกือบหลังสุดของโรงพยาบาล การจะเดินไปในตอนกลางวันนั้นไม่มีปัญหา จะมีบ้างก็แดดแรง อากาศร้อน

แต่หากเป็นตอนกลางคืนคุณเอ๋ย นอกจากอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกถึงกระดูก ไฟทาง ที่ตั้งเสาห่างๆ ก็ติดวอมแวม นั่นแหละ ที่ว่ากันว่าบางคนเดินตามพนักงานเวรเปลไม่ทัน หรือตามญาติที่เสียชีวิตมาเองทีหลัง มักจะได้ยินเสียงฝีเท้าของรองเท้าคัตชูส้นเตี้ยเดินไล่หลังมาดัง ต๊อก…ต๊อก…สม่ำเสมอ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่ง เดินแซงหน้าไปนิดหนึ่ง ทำนองให้เดินตามเธอ นั่นแหละ คุณต้องยอมให้เธอเดินไปส่งจนถึงตึก 16 ตามที่เธอตั้งใจแล้วจึงจะหายตัวไปเงียบๆ ว่ากันว่าอย่าได้หันไปคุยกับเธอ ให้เดินตามห่างๆ อย่าหยุด อย่าหนี อย่าให้เธอเสียความตั้งใจ เพราะยังไงเธอก็จะเดินตามไปพาคุณกลับมาที่ตึก 16 อยู่ดี

ผมฟังเรื่องนี้ทีแรกก็รู้สึกว่าน่ากลัวมาก แต่ยังไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไร จนกระทั่งคืนหนึ่ง เป็นช่วงที่ผมสลับเวรกับแม่ ส่วนผมออกไปธุระที่อำเภอใกล้ๆ แต่ระหว่างทางขากลับ มีโทรศัพท์โทร.เข้ามา พอรับสายแม่ก็ร้องไห้โฮบอกว่าพี่ชายเสียแล้ว ตั้งแต่เมื่อราวชั่วโมงที่แล้ว หมอช่วยเต็มที่แต่ยังไงก็ไม่ฟื้น ตอนนี้กำลังจะพาไปฉีดฟอร์มาลินที่ตึก 16

ผมใจร่วงวูบ แล้วรีบตั้งสติ กดโทร.บอกพ่อ ที่บ้านพลางขับรถไปที่ร.พ.อย่างเร็วที่สุด เพราะเป็นห่วงแม่ มาถึงโรงพยาบาล ผมรีบลงจากรถ กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามทางเดินไปตึก 16 ที่ว่าอยู่หลังโรงพยาบาล ทางไกลและมืดจริง ยิ่งไกลเข้าไปอีกเมื่อคิดว่าแม่ที่หัวใจสลายกำลังรออยู่ปลายทางนั้น ยิ่งรีบยิ่งเหมือนจะไม่ทันใจ

แล้วผมก็เดินไปถึงบริเวณที่ไฟทางติดๆ ดับๆ บรรยากาศเย็นเยือก ไอเย็นเคลื่อนผ่านแขนเหมือนมีกลุ่มหมอกชื้นไหลวนบริเวณนั้น ผมเริ่มได้ยินเหมือนเสียงฝีเท้าคนเดินตามมา เป็นเสียงรองเท้าคัตชูส้นเตี้ย ก๊อก…ก๊อก…ดังเร่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมขนลุกซู่ แต่ยังจ้ำเดินต่อไป ใจเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกจากอก

จำได้ที่เขาว่ากันว่า ต้องปล่อยให้เธอเดินแซงไปแล้วเดินตาม แต่ใจผมร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก ยังคงเดินจ้ำในจังหวะเดิม ไม่อยากเห็นไม่อยากเจอ อยากไปหาแม่ให้เร็วที่สุด แต่ทางมืดมาก วิ่งไปกลัวสะดุดล้ม เลยต้องจ้ำๆ แต่ในที่สุด เดินก๊อก…ก๊อก…ก็ตามมาทัน ผมเย็นเยือกไปทั้งตัว เมื่อได้ยินเสียง หัวเราะเบาๆ ข้างๆ ตัว เป็นเสียงผู้หญิง

“ไปฟังเรื่องพยาบาลจันทร์เพ็ญมาสิท่า” เธอว่า ทำเอาผมงง เลยหันไปดู พบว่าก็เป็นพี่พยาบาลหน้าตาท่าทางใจดีคนหนึ่ง “ไม่ต้องกลัวพี่หรอก พอดีพี่ก็จะไปตึก 16 เหมือนกัน เลยรีบเดินมานี่แหละ เผื่อคุณไปไม่ถูก เดินมามืดๆ หลงกันหลายคนแล้ว”

ผมถอนหายใจโล่งแล้วยิ้มออก กระนั้นก็ยังต้องเร่งเดิน “พี่ชายผมเสีย แม่ผมอยู่คนเดียว ผมเป็นห่วงแม่ครับ”

“อื้ม พี่เข้าใจ ป่ะ รีบไปกันนะ” พี่พยาบาลว่า

กระทั่งมาถึงตึก 16 ผมเห็นคนกำลังมุงๆ กันอยู่ และตกใจ ที่เห็นแม่กำลังถูกอุ้มมาวางบนม้านั่งใกล้ๆ มีคนโบกพัดวีให้ และบางคนโบกแอมโมเนียที่จมูก แม่คงเป็นลมไปแล้ว

“แม่!” ผมร้องเรียกจะวิ่งเข้าไปหาแม่ แต่พี่พยาบาลรีบดึงไว้

“เดี๋ยว มาทางนี้ก่อน แม่คุณมีคนช่วยดูเยอะแล้ว มาทางนี้” ผมพยายามจะแย้ง แต่ก็เข้าใจว่าคงอยากให้ดูศพพี่ชายหรือไปเซ็นเอกสารอะไรแทนแม่ เลยรีบเดินตามไป

กระทั่งเห็นศพพี่ชายนอนอยู่บนเตียง ผมก็น้ำตาร่วง แต่พี่พยาบาลก็ยังดึงให้เดินเลยเตียงพี่ไปอีก และไปหยุดที่เตียงข้างๆ ที่ว่า ศพบนนั้นใส่เสื้อผ้าคุ้นตาพิกล แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นใบหน้าศพชัดเจน

“คุณขับรถเกิดอุบัติเหตุระหว่างที่รีบมาที่นี่น่ะ” เธอว่าพลางแตะไหล่ผมเบาๆ อีกครั้ง “พี่มาส่งได้เท่านี้นะคะ ยินดีที่ได้พบกัน” เธอว่าก่อนค่อยๆ เลือนหายไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน