เชื่อว่าสาวๆหลายคน คงเคยเห็น “นุ่น นพลักษณ์” บิวตี้บล็อกเกอร์คนสวย ผ่านทางโซเชียลที่มีรีวิวเป็นเอกลักษณ์คนนี้มาบ้างแล้ว แต่ใครจะรู้ว่ากว่าที่เธอจะเป็นบล็อกเกอร์ที่หลายๆคนรู้จัก เธอผ่านอะไรมาบ้าง

วันนี้ “ข่าวสดออนไลน์” จะพาไปรู้จักกับชีวิตของเธอมากขึ้น จากเด็กสาวที่เคยแจกใบปลิวสู่ชีวิตบิวตี้บล็อกเกอร์ ที่มีคนติดตามเกือบล้านในเฟซบุ๊ค Nune noppaluck และมียอดฟอลโล่ในอินตราแกรมถึง 3 แสนกว่า

 

ชีวิตวัยรุ่นของพี่นุ่นไม่เหมือนคนอื่น คือต้องทำงานตั้งแต่ตอน ม.4 เรื่องราวเป็นมายังไง?

นุ่น : ที่ว่าไม่ธรรมาดาคือทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยตั้งแต่ ม.4 มีภาระต้องเลี้ยงดูน้อง ในชีวิตตอนเด็กเป็นคนติดพ่อมาก ไปไหนมาไหนต้องมีพ่อตลอด นอนกับพ่อทุกคืน แต่เมื่อพอมาถึงวันนึงที่ครอบครัวเกิดอุบัติเหตุ คุณย่าเสีย พ่อรู้สึกเสียใจมาก จึงไปบวช โดยบอกว่าจะบวชเพียงแค่ 7 วัน ตนก็รู้สึกว่าไม่อยากเป็นตัวถ่วง ไม่อยากบอกว่าทำไม่ได้ ในเมื่อยังไม่ได้ทำ จึงยอมให้พ่อบวช ซึ่งในปัจจุบัน คุณพ่อก็ยังบวชอยู่

นั่นอาจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องสู้ชีวิต ในจุดจุดนั้นเราไม่รู้ว่าเราสู้ชีวิตหรือว่าอะไร แต่เมื่อมีปัญหาและหลังชนฝา ทุกคนจะมีโมเมนต์ที่ฮึดสู้ เชื่อว่าทุกคนจะมีสัญชาติญาณการเอาตัวรอด พยามเพื่อให้อยู่รอด ในตอนนั้นมีอะไรให้ทำเราก็ต้องทำ ความจำเป็นในตอนนั้น ถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีเงินที่จะอยู่ เลยต้องทำ มีแจกใบปลิว เก็บกล่องไปขาย เพื่อส่งตัวเองเรียน ส่งน้องเรียน เมื่อทำไปเรื่อยๆจะชินในความลำบาก เมื่อมาสบาย เราจะมีแรงกระตุ้นที่มากกว่าคนอื่น

กว่าจะได้เป็น นุ่น บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดัง ผ่านอะไรมาบ้าง ?

นุ่น : ในตอนแรกไม่ทราบว่าบิวตี้บล็อคเกอร์คืออาชีพ คิดเพียงแค่ว่า มันคืองานอดิเรกที่คนรักสวยรักงามจะมาแชร์สิ่งดีดีหรือประสบการณ์ต่างๆให้ฟัง สนุกสนาน ด้วยความที่เราเองเป็นชอบแต่งหน้า และชอบเล่นโซเชียล อยู่ในช่วงมีอินตราแกรม โซเชียลแคม รู้สึกว่าดีกว่ายูทูป เพราะในยูทูปมีแต่คลิปดีๆ เราทำไปก็กลัวว่าจะมีคนแอนตี้ หรือมีคนมาว่าเราไหม แต่พอมาสักพัก มันก็มีแอฟที่คนธรรมดาสามารถมาเอ็นจอยกันได้

เริ่มจากอินตราแกรมก่อน หลังจากนั้นเราก็มีเพื่อนเยอะขึ้นเรื่อยๆ เราก็ดีใจ พอมีเพื่อนเยอะขึ้นจากในโชเชียลก็รู้สึกดีใจที่เราสามารถเป็นเพื่อนกับคนทั่วโลกได้ ได้มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ จึงเริ่มต้นทำรีวิว พูดคุย แลกเปลี่ยนกัน และมีคนที่ชอบดูรูปเราเซลฟี่แล้วมักจะถามว่า วันนี้เราแต่งหน้าลุคอะไร แต่งตาแบบไหน ลิปสติกอันนี้ของอะไร หรือมาขอให้ทำ ฮาวทูอันนี้หน่อย ซึ่งบางอย่างมันจะยากในการอธิบายในคอมเมนต์ใต้รูป เราก็พยายามตอบให้สั้นและเข้าใจมากที่สุด

เราอยากอัดวีดีโอแต่เราเองก็ไม่ได้ตัดต่อเก่งอะไรมาก แต่พอมีโซเชียลแคม ก็สามารถอัดวีดีโอแล้วลงได้เลยโดยที่ไม่ตัดต่อ คนก็เริ่มติดตามมาเรื่อยๆ เพราะเราเป็นคนแรกที่ทำฮาวทูในโซเชียลแคม และเราเป็นคนชอบ DIY (Do it yourself) เพราะเมื่อก่อนที่เราต้องใช้จ่ายค่อนข้างประหยัด มีงบจำกัด

เราก็จะอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียง ใช้ของที่บ้านมาดูแลตัวเอง เช่น มะขามเปียก ขมิ้น หรือสมุนไพรไทยบ้านๆ ในงบประมาณที่ไม่แพงมาก ก็เลยมาสอนเพื่อนในโซเชียลแคม เพื่อให้ดูแลตัวเอง ทุกคนก็เลยชอบ ด้วยการที่เรานำวัตถุดิบที่ถูกแล้วดี ทำให้เด็กม.ต้น ม.ปลาย หรือคนที่รักสวยรักงามแต่มีงบจำกัดและทุกคนสามารถทำตามได้

มีคนติดตามเกือบล้านรู้สึกยังไงบ้าง ?

นุ่น : เมื่อรู้ว่ามีคนติดตามเกือบจะถึงล้านแล้ว ตนตื่นเต้นและตกใจมาก ถามว่าดีใจไหม เรารู้สึกเหมือนเดิม เราอยากคงความรู้สึกเหมือนเดิมตั้งแต่เริ่ม คือที่เราทำไปเพราะความรัก เราไม่ได้ต้องการเงินทองอะไร หรือบางทีอาจจะมีคนจ้างให้รีวิวสินค้า หรือมีคนมาบังคับให้เราทำหรือบังคับให้พูดตามต้องการ เราก็จะลดลง อะไรที่มากไปเราก็จะเครียด รู้สึกไม่ชอบถ้าหากทีคนมาบังคับให้เราพูดหรือเราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ตนจะพูกตามความจริง มีหลายแบรนด์ที่มาจ้างเรา ก็จะรู้ว่าเราเป็นคนเรื่องมาก

คิดว่าอะไรที่ทำให้เราเป็นที่ชื่นชอบของหลายๆคน ?

นุ่น : คิดเสมอว่าทุกคนที่เข้ามาถามคือเพื่อนที่สนใจในเรื่องเดียวกันแล้วมาตามกัน เมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่มีเพื่อน เพราะทำงานมาตั้งแต่เด็ก เลิกเรียนก็ต้องทำงาน ไม่มีเวลาไปไหนกับเพื่อน ไม่ค่อยมีเงิน ซึ่งเป็นปมของตน เราได้เข้ามาในโลกโซเชียลมีเดีย มันก็ช่วยลบปมของเราไปได้บ้าง

อุปการะเด็กหลายคนจริงไหมคะ?

นุ่น : พอมาเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ ก็เริ่มอุปการะเด็ก เช่น อ่างทอง สิงห์บุรี มีหลายคน แต่ขอไม่ระบุ เพราะกลัวจะเว่อร์เกินไป ในช่วงของวันเกิด ก็จะมีการไปซ่อมแซมโรงเรียน เลี้ยงอาหารเด็ก คิดว่าเอาเงินมาทำประโยชน์ดีกว่า ถ้าใครที่ถามก็จะรู้ว่าเราตามหาอาสาสมัครเพื่อไปช่วยเหลือเด็กๆ

ทำไมถึงอยากทำเพื่อสังคม ?

นุ่น : เพราะเราเคยไม่มีมาก่อน ตอนที่อยากเรียนก็ไม่ได้เรียน ส่วนใหญ่จะอุปการะเด็กกำพร้าและส่งค่าเรียนให้ผ่านครูที่ดูแล เช่น โรงเรียนวัด ตามชนบท ที่คนเข้าไปไม่ค่อยถึง ไม่มีใครไปบริจาคเงิน จะมีเด็กกำพร้าที่ต้องไปกินนอนที่นั่น เราก็ได้ช่วยค่าใช้จ่าย โดยตนก็ได้เข้าไปเยี่ยมบ้าง ซึ่งในเกิดของตนมีคนสนใจไปเป็นอาสาสมัครเยอะมาก หนึ่งในนั้นก็มีแฟนคลับของเราด้วย

เวลาที่เราประกาศในเฟซบุ๊คถึงเราจะไม่มีของมาให้แต่ทุกคนก็ยินดีที่จะมาลำบากกับเรา ตอนนี้ทีโรงเรียนที่เราดูแลอยู่ จ.สิงห์บุรี ซึ่วตอนนี้น้ำท่วม และตนกำลังจะไปดู เพราะมีเด็กบางส่วนที่ไม่มีบ้าน ซึ่งต้องอยู่ที่นั้น และมีพระที่ไม่มีวัด ซึ่งอยู่ระหว่างการรอรับความช่วยเหลือ ตนก็จะไป แต่ก็ต้องดูก่อนว่าเข้าไปแล้วจะถึงโรงเรียนไหม เพราะกลัวว่าเข้าไปให้ถึงเส้นทาง ก็จะไม่เป็นภาระ ซึ่งก็จะเอาอาหารแห้งไปแจกเด็กๆ

นอกจากบิวตี้บล็อกเกอร์แล้ว ยังทำอะไรอีก ?

นุ่น : ทำอสังหาริมทรัพย์ , เล่นหุ้น , มีขายคอนแท็คเลนส์ Dream Color

จนผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร พบแรงกดดันอะไรบ้างหลักจากเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์

นุ่น : พบแรงกดดันในอีกรูปแบบหนึ่งแต่ตนก็ผ่านอะไรมาเยอะ ซึ่งตนถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ตนไม่ได้รู้สึกอะไร ตนก็เคยเจอคนติ เช่น ติเพื่อให้เราปรับปรุงแก้ไข , ติตามกระแส และติดเพื่อสะใจ ถ้าเราอ่าน แล้วเป็นแบบนั้นจริงๆ เราก็นำมาปรับปรุงแก้ไข

แต่ถ้าหากว่า เป็นการตามกระแสหรือการด่าแบบหยาบคาบ ตนก็จะปล่อยไป เราจะทำอะไรกับเค้าไม่ได้และแก้ไขอะไรไม่ได้ จึงให้เค้าปรับทัศนคติของตัวเองต่อไป

ถามว่าตอนนี้สตรองไหม ?
“ตนดูภายนอกดูแข็งแรง แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงอย่างที่คิด แต่เราเลือกแคร์ให้ถูก ไม่มีใครที่แข็งแรงแบบไม่สนไม่แคร์ แต่เราต้องเลือกแคร์ให้ถูก ถ้าเราไม่เลือกแคร์ เรารับมาทุกอย่าง มันก็จะหนักที่ตัวเราเอง และคนที่รอเราอยู่ข้างหลังก็จะลำบากไปด้วย

ถ้าเราล้มแล้วไม่ทำ คนที่เราดูแลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่เราดูแลอยู่ น้อง หลาย ญาติ หรือเด็กที่เราอุปปะการอยู่ก็จะลำบากไปด้วย เพราะเค้าไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง”

อยากจะฝากอะไรไหม
“ทุกคนนั้นมีปัญหาหมด ไม่ใช่แค่คุณที่มีปัญหา เพียงแค่ว่าเค้าจะแสดงออกหรือบอกใครไหม ชีวิตเค้าอาจจะดูไม่มีปัญหา ดูไม่เหนื่อย แต่ลุกไมาค้าอาจจะเหนื่อย ชีวิตเค้าอาจจะดูเฟอร์เฟ็ค แต่เมื่อเดินเข้าไปถามว่ามีปัญหาอะไรไหม เชื่อว่าทุกคนก็จะมีคำตอบให้คุณ ไม่มีใครหรอกที่จะมีชีวิตที่ดี

การใช้ในชีวิตในโซเชี่ยลมันเยอะมาก ทุกคนใช้โซเชี่ยลหมด โซเชี่ยลเป็นด้านเดียวที่จะเห็นมุมของเรา คนทุกคนก็อยากให้มีชีวิตที่ดีในโลกโซเชียล อย่าไปเปรียบเทียบว่า ทำไมเค้าดี ทำไมเค้าได้ จริงๆแล้วเราไม่รู้ว่าเค้าลำบากขนาดไหนเพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมาโชว์เรา

ฉะนั้นอย่าเอาสิ่งที่เค้ามีมาเทียบกับเรา เค้าอาจจะโชว์ให้เราเห็นในด้านที่ดีและสวยงาม เพราะธรรมชาติทุกคนเป็นแบบนั้น อยากให้เสพอย่างมีสติ อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเอง ไม่มีใครดี ร้อยเปอร์เซ็น”

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน