โดย Coolerist จาก ไทยเกมวิกิ

ซีรี่ส์ COD ในยุคหลังๆ ถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมากพอสมควร ถึงแม้ยอดขายค่อยๆ ดรอปลงไป แต่ก็ยังคงถือว่าติดอันดับเกมขายดีทุกปี แต่กระแสความนิยม คำวิจารณ์ ถึงเรื่องความซ้ำซากของเกมก็ถาโถมเข้ามาอย่างหนัก ทั้งในส่วนของโหมดเนื้อเรื่องที่ดูจะไม่สามารถวางโครงเรื่องต่อเนื่องให้น่าติดตามได้เหมือนภาคเก่าๆ ไปจนถึงมัลติเพลเยอร์ที่แยกแทบไม่ออกว่าเป็นของภาคก่อนหน้าหรือภาคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาค Infinite Warfare เมื่อปีที่แล้ว ที่เหล่าเกมเมอร์พร้อมใจกันกระหน่ำกด dislike ในวีดีโอเทรลเลอร์บน Youtube จนกลายเป็นวีดีโอที่คนไม่ชอบมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก!

Call of Duty ต้องการความเปลี่ยนแปลง มันจึงกลายเป็นการบ้านของพับบลิชเชอร์อย่าง Activision และ ทีมพัฒนา Sledgehammer Games ผู้รับผิดชอบในการสร้างภาคล่าสุดประจำปี 2017 นี้ ที่จะต้องนำ COD กลับมาสู่เส้นทางในการเป็นราชาแห่งเกม FPS ให้ได้ และหนทางที่พวกเขาเลือกใช้ ก็คือการนำซีรี่ส์กลับสู่รากเหง้าดั้งเดิม โดยการนำเรากลับไปสู่สมรภูมิสงครามโลกทั้งที่สอง แน่นอนว่าในระยะหลัง เนื้อหาในเกมของ COD จะประกอบไปด้วยสามส่วนสำคัญ ได้แก่ โหมด Campaign, Multiplayer และ Zombies รีวิวนี้จะเป็นการลงรายละเอียดในเชิงลึกของเกมที่จำเป็นจะต้องมีการพูดถึงเนื้อหา ดังนั้นขอเตือนว่าอาจมีสปอยล์อ่อนๆ ล่วงหน้านะครับ

อย่างแรกที่ต้องชมคืองานกราฟิกและเสียงประกอบที่อลังการ ชนิดว่าเห็นแล้วต้องทึ่งในความบรรจงสร้างที่ทำเกมออกมาได้สมกับกำลังเครื่องในปัจจุบันจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นความสวย ละเอียด แสงเงา ดนตรีประกอบ และเสียงพากย์ ถือว่าทำออกมาได้สุด เอาไว้โชว์เครื่องได้สบายๆ และสร้างบรรยากาศในสนามรบได้ดีจริงๆ


Campaign

โหมดแคมเปญหรือเนื้อเรื่องนั้น เกมจะให้เรารับบทบาทเป็นพลทหาร Ronald “Red” Daniels (โรนัลด์ เรด แดเนี่ยล) ประจำกองพลทหารราบที่ 1 สหรัฐฯ ที่มีฉายาว่า Big Red One ในภารกิจเป็นหัวหอกให้กองทัพฝ่ายพันธมิตรทะลวงแนวป้องกันภาคพื้นยุโรปของกองทัพนาซี ซึ่งในตามประวัติศาสตร์แล้ว กองพลนี้ถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังเพราะสามารถทำภารกิจที่เสี่ยงตายอย่างกล้าหาญแม้สูญเสียกำลังพลไปนับไม่ถ้วน เราจะได้ติดตามพระเอกและเพื่อนๆ ตั้งแต่ยุทธการยกพลขึ้นบกบนหาดนอร์มังดี ไปจนถึงการยึดลุ่มแม่น้ำไรน์

การจัดเรียงมิชชั่นของตัวเกมในภาคนี้นับว่าทำออกมาได้ดีมาก เพราะมีความหลากหลายและช่วยสับเปลี่ยนอารมณ์ไปจนถึงเกมเพลย์ให้ผู้เล่นได้ทำอะไรแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าหลักใหญ่ใจความของตัวเกม คือการที่เราจะได้เป็นทหารเดินเท้าที่อยู่แถวหน้าสุดของสนามรบที่ดุเดือดเร้าใจ พร้อมฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อมแบบอลังการงานสร้าง สลับคั่นด้วยการให้เราตรึงพื้นที่รักษาที่มั่น หรือด่านที่มีให้เราขับรถไล่ล่าข้าศึก เป็นพลซุ่มยิงคอยคุ้มกันเพื่อนๆ ขับรถถังประจัญบาน ไปจนถึงขับเครื่องบินขับไล่ คุ้มกันเครื่องบินทิ้งระเบิด เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่สงครามโลกจะเอื้ออำนวยให้มี ด่านที่ผมชอบที่สุดคือด่านที่ให้เราเล่นเป็นสายลับฝรั่งเศสปลอมตัวลอบเข้าไปในฐานทัพนาซีเพื่อตามหาไส้ศึกของฝ่ายเราที่แฝงตัวเป็นนายทหารเยอรมัน เราจะต้องเดินเข้าไปทักนายทหารที่ดูแล้วมีโอกาสเป็นไส้ศึกที่ละคนจนกว่าจะเจอตัว โดยห้ามเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้กับศัตรูได้รู้ โดยก่อนเริ่มภารกิจเราจะได้รับหนังสือแนะนำตัวที่บอก ชื่อปลอม บ้านเกิดปลอม ตำแหน่งหน้าที่การงานปลอมให้เราอ่านและจดจำ ทุกครั้งที่เราทักนายทหารคนไหนและทักผิดตัว นายทหารคนนั้นจะเรียกขอดูหนังสือแนะนำตัวแล้วถามข้อมูลข้างใน ซึ่งถ้าเราจำไม่ได้ก็จะถูกสงสัยแล้วเกมจะโอเวอร์เพราะโดนจับได้ ถือว่าเป็นความครีเอตที่ทำออกมาได้ดีทีเดียว

ในแต่ละด่านก็จะมี Collectibles ต่างๆ ให้เก็บกันพอหอมปากหอมคอ แต่ละชิ้นก็จะบอกเล่าประวิติศาสตร์และเรื่องราวของยุคสมัยแบบคร่าวๆ ทำให้สามารถกลับมาเล่นเพื่อตามหาของเหล่านั้นได้อีก สิ่งที่แปลกใหม่สำหรับในภาคนี้คือการตัดระบบ Health Regen ทิ้งไป นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถลุยแหลกพอบาดเจ็บก็หลบเข้าที่กำบังให้พลังชีวิตฟื้นคืนขึ้นมาเต็มเหมือนเดิมได้ แต่จะใช้ระบบการ “ไถ” ไอเทมเอาจากเพื่อนร่วมทีม เพราะในหมู่ของเราจะประกอบไปด้วยตัวละคร NPC หลายคน แต่ละคนจะแบกไอเทมไม่เหมือนกัน เช่น ยาเติมเลือด กระสุน ระเบิดมือ เรียกปืนใหญ่ยิงสนับสนุน หรือเปิดตำแหน่งข้าศึกในบริเวณ ราวกับเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะบุคคลกันเลยทีเดียว แต่ระบบนี้ก็ช่วยเปลี่ยนจังหวะการเล่น ไม่ให้ผู้เล่นห้าวเกินไปและต้องวางแผนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

โดยรวมแล้วในส่วนของโหมดเนื้อเรื่องน่าจะเรียกได้ว่า well−designed คือออกแบบมาดี จังหวะดี และมีการจัดเรียงดี ทำให้เกมเพลย์ค่อนข้างไหลลื่นและเพลิดเพลินไปกับภารกิจในแต่ละด่าน แต่สิ่งที่จัดว่าอ่อนคือตัวละครและเนื้อเรื่องครับ เพราะมันไม่น่าติดตามและไม่น่าสนใจเท่าที่ควร ทั้งๆที่ได้ตามหน่วยยอดนักรบแห่งสงครามครั้งนั้น แต่ดูเหมือนทีมสร้างจะใช้เงื่อนไขตรงนี้ได้ไม่เต็มที่ เกมไม่ได้นำเสนอมุมมองหรือข้อคิดใดอื่นที่น่าสนใจ เช่นไม่ได้พูดถึงประเด็นความโหดร้ายของสงคราม วีรกรรมที่กล้าหาญ เกร็ดประวัติศาสตร์ ความสูญเสียหรือความเสียสละเลย แต่เป็นการเล่าเรื่องที่ตรงไปตรงมาเท่านั้น เมื่อมันไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมที่ซาบซึ้งตรึงใจให้กับผมได้ มันจึงเลยกลายเป็นเกมแอคชั่น-ป๊อบคอร์นเต็มสูบที่เอาไว้เสพความอลังการ ถามว่าการขาดการเล่าเรื่องที่ดีมันแย่ถึงขนาดดึงเกมลงไปจุดที่จัดว่าแย่ได้ไหม? มันก็คงจะไม่ แต่มันเป็นการเสียโอกาสในศักยภาพของเกมอย่างน่าเสียดายมากกว่า


Multiplayer

สุดท้ายแล้วเชื่อว่าใครที่สนใจ COD ก็น่าจะซื้อเกมกันเพื่อเล่น มัลติเพลเยอร์ เสียมากกว่า ซึ่งก็คงจะสามารถบอกกันได้ตรงนี้เลยว่า มันยังคงรักษาเอกลักษณ์ของซีรี่ส์เอาไว้ได้อย่างเต็มเปี่ยมครบถ้วน เช่น TTK (Time to Kill) หมายถึงระยะเวลาที่ใช้ในการฆ่าศัตรูต่อคนนั้นสั้นมาก กระสุนออกไวยิงกันไม่กี่นัดชั่วอึดใจก็ตายไปเกิดใหม่กันแล้ว ความเร็วของเกมทั้งด้านการควบคุม การเคลื่อนไหว การเล็ง การยิง จัดว่าอยู่ในขั้นทารุณผู้เล่นมือใหม่ที่ไม่ชินกับสปีดของเกมอย่างมาก รีคอยล์หรือแรงดีดของปืนนั้นค่อนข้างต่ำมาก เมื่ออยู่ในมือผู้เล่นรุ่นเก๋าที่ชินกับเกมอยู่แล้วพวกเขาจะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่จะฉีกกินคุณเป็นชิ้นๆ อย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ ฟังดูอาจจะน่ากลัว แต่จริงๆแล้วมันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของ COD ที่ถือว่าเป็นสุดยอดเกม twitch shooter ครับ คือถ้าจะประสบความสำเร็จในเกมนี้จะต้องมีปฎิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วมากนั่นเอง

ระบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้หรือระบบคลาสที่เกมเรียกว่า Divisions ได้แก่ Infantry ทหารราบ(ใช้ AR), Airborne พลร่ม(ใช้ SMG), Armored หน่วยอาวุธหนัก(ใช้ LMG), Mountain หน่วยพลซุ่มยิง(Sniper) และ Expeditionary หน่วยเคลื่อนที่เร็ว(ใช้ลูกซอง) แต่ไม่ว่าเราจะเลือกเล่นหน่วยไหน เราก็สามารถปลดล๊อคอาวุธของหน่วยอื่นมาใช้ได้หมดด้วย token ที่จะได้หลังจากการเลเวลอัพตัวละครของเรา เพียงแต่การใช้อาวุธให้ตรงกับคลาสจะมีผลทำให้ผู้เล่นได้ประโยชน์จากสกิลและใช้อาวุธประจำคลาสได้มีประสิทธิภาพที่สุด เช่น ถ้าพลร่มใช้ SMG ก็จะสามารถติดที่เก็บเสียงได้ หรือถ้าหน่วยเคลื่อนที่เร็วใช้ลูกซองก็จะมีกระสุนไฟเอาไว้ให้ใช้ เป็นต้น

โหมดการเล่นของ COD นั้นมีหลากหลายมากเพราะทีมงานคัดมาแต่โหมดยอดนิยม TDM(Team Deathmatch), Kill Confirm, Hard Point, CTF ยังคงเป็นโหมดมาตรฐานที่เล่นได้เรื่อยๆ แต่ส่วนที่เพิ่มเข้ามาใหม่ล่าสุดคือ War ที่ดูแล้วได้แรงบันดาลใจจากเกมคู่แข่งอย่าง Battlefield แน่ๆ ผู้เล่นสิบสองคนจะแบ่งเป็นฝ่ายบุกและตั้งรับ โดยฝ่ายบุกจะต้องทำภารกิจบางอย่างให้สำเร็จ เช่น สร้างสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำ นำรถถังข้ามเขตแดนข้าศึกไปให้ได้(ดัน Payload), ขโมยเชื้อเพลิง, ทำลายป้อมปืน ฯลฯ ในขณะที่ฝ่ายตั้งรับก็ต้องคอยขัดขวางจนกระทั่งหมดเวลา และแม้ผู้เล่นจะมีเพียงแค่สิบสองคน แต่เกมสามารถจำลองบรรยากาศสนามรบเอาไว้ได้และช่วยเพิ่มกลยุทธและการวางแผนเป็นทีมเข้าไปในเกมที่เน้นวิ่งฆ่ากันในเขาวงกต ดังนั้นโดยรวมแล้วถือว่ามัลติเพลเยอร์ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ

*หากวิดีโอไม่ขึ้นกรุณากดที่นี่*


Zombies

โหมดซอมบี้ในภาคนี้ได้ชื่อว่า Nazi Zombies ที่หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นโหมดขนมกรุบเอาไว้เล่นขำๆ ฆ่าเวลา แต่ผมสารภาพเลยว่า ไม่มีโหมดซอมบี้ใน COD ภาคไหนที่ผมเล่นแล้วรู้สึกดีที่สุดเท่าที่เล่นมา เนื้อเรื่องของมันคือมีหมอสติเฟื่องของนาซีพยายามสร้างกองทัพซอมบี้มาช่วยสู้สงคราม และก็ไม่ต้องเดาว่ามันคงจะผิดพลาดนรกแตกทำให้กลุ่มตัวเอกในโหมดนี้ต้องมาหยุดยั้งเขาให้ได้

ในตอนแรกของเนื้อเรื่องนี้มีชื่อตอนว่า The Final Reich ผู้เล่นจะมาอยู่ในหมู่บ้านหนึ่งซึ่งเป็นฐานลับในการทดลองสร้างซอมบี้ ระบบการเล่นยังเหมือนเดิมฆ่าซอมบี้เก็บเงิน ซื้ออาวุธ เปิดทางไปต่อ ซื้ออัพเกรดความสามารถให้ตัวละครเราเก่งขึ้น และระหว่างใช้เงินเปิดโซนใหม่ๆ จะมีปริศนาให้เราทำมากมาย เช่นสับสวิตช์ เปิดเครื่องปั่นไฟ ซึ่งภารกิจปริศนาเหล่านี้ต้องใช้การสำรวจและการช่างสังเกตของผู้เล่นว่าจะต้องไปทำอะไรตรงไหน บางครั้งก็จะต้องเดินทางย้อนกลับมาทางเก่าเสียด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายที่ต้องหาทางไปต่อและฝ่าฟันกับสูงซอมบี้ไปพร้อมๆกัน และแน่นอนว่าการประสานงานของผู้เล่นทั้งสี่คนถือเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของโหมดนี้

ตัวละครจะระบบคลาสคล้ายๆ กับการเล่นในโหมดมัลติเพลเยอร์ คือ Shellshock สาย control, Frontline สายแท้งค์, Camouflage สายหลบซอมบี้, Freefire สาย DPS ซึ่งแต่ละสายจะมี Mod ต่างๆ ให้เราสร้างมาประดับใส่ตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับตัวละครของเราได้ วัตถุดิบที่ใช้ในการสร้างก็คือ Token ที่ได้จากการเลเวลอัพตัวละครในโหมดนี้ ทั้งระหว่างแมตช์แต่ละแมตช์ผู้เล่นจะยังสามารถซื้อ power up ต่างๆ เช่นเพิ่มเกราะ ชุบชีวิตเพื่อนเร็ว เพิ่มพลังโจมตี รีโหลดไว ฯลฯ ได้ และยังมีการเก็บไอเทมติดตัวนำไปใช้ เพิ่มความซับซ้อนให้กับตัวเกมเข้าไปอีก แต่ก็ทำให้มันเล่นได้สนุกแม้จะมีแค่แมพเดียวในตอนนี้ก็ตาม


Microtransactions

เรื่องหนึ่งที่จะข้ามไปไม่ได้เลยนั่นก็คือระบบ microtransaction หรือระบบการเติมเงินแบบ loot box ที่มาแบบชัดเจนแจ่มแจ้ง ดูให้รู้กันไปเลยว่าต้องการขายกล่องขนาดไหน เพราะในภาคนี้ระหว่างรออยู่ที่หน้า lobby ผู้เล่นทุกคนจะต้องมาอยู่รวมตัวกันใน คอมมูนิตี้ฮับ ที่เรียกว่า Headquater ซึ่งหากมีใครเติมเงินซื้อกล่องก็จะเป็นการเรียก supply drop จากฟากฟ้าให้เพื่อนๆ ในบริเวณนั้นเห็นกันทุกคนว่าเปิดออกมาแล้วได้อะไร แถมถ้าได้ไอเทมดีๆ ก็จะมีเสียงแบบพิเศษประกาศให้ทุกคนรู้ราวกับกำลังได้รางวัลแจ๊กพอตจากตู้สลอตแมชชีน เป็นการโฆษณาและจูงใจให้ผู้เล่นเสียเงินกับระบบนี้ที่โจ๋งครึ่มที่สุดแล้ว


สรุป

โดยรวมแล้ว Call of Duty: WWII เป็นความพยายามที่จะ “คัมแบ๊ค” ของซีรี่ส์ ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ดีที่สุดในรอบหลายปี แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังห่างไกลกับสิ่งที่พวกเขาเคยทำได้ในฐานะผู้ปฎิวัติวงการ FPS ยุคใหม่กับ Modern Warfare แม้การเปลี่ยนฉากหลังมาเป็นยุคสมัยสงครามโลกจะพอลดความจำเจลงไปได้บ้าง แต่เกมก็ยังคงเดิมตามสูตรสำเร็จไว้อย่างเหนียวแน่น สำหรับแฟนของซีรี่ส์หรือชื่นชอบสงครามโลก น่าจะเป็นภาคที่ถูกใจกัน สำหรับคนอยากทำความรู้จักกับชู้ตเตอร์ก็เหมาะที่จะซื้อหามาลองเล่น แต่สำหรับคนที่มองหาจุดเปลี่ยนหรือความแตกต่าง ผมเสียใจที่ต้องบอกว่ามันยังมาไม่ถึง

คะแนน 4 ⁄ 5 ดาว


ขอขอบคุณ PC&Associates Consulting และ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดในการรีวิวเกมมา ณ โอกาสนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน