“นทธี ศศิวิมล”

“บรรจบ นาพิกุล”

เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นชื่อเขาแล้วสะดุ้ง ครั้งนี้เป็นการสะดุ้งที่ห่างจากครั้งแรกถึงราว 30 ปี

ครั้งแรกที่ผมเห็นชื่อบรรจบแล้วสะดุ้งคือตอนที่กำลังจะขึ้นชั้น ป.4 แม่พาผมมาเดินตรวจรายชื่อหน้าห้องเรียนในวันซื้อหนังสือก่อนเปิดเทอม ห้องเรียนใหม่ของผมอยู่ชั้นสาม อาคารใหม่ที่เครื่องใช้ไม้สอย สื่อการเรียนการสอน ไปจนถึงโต๊ะ เก้าอี้นักเรียน และครูประจำชั้น ทุกอย่างใหม่เอี่ยมอ่อง จะมีที่เก่าอยู่บ้างก็เพื่อนร่วมชั้นนี่แหละ

แม้จะไม่ได้ยกชั้นเดิมมาทั้งหมด เพราะโรงเรียนมีนโยบายแยกห้องตามผลการเรียนของนักเรียนทุกปี เด็กหัวดีอยู่ห้องคิง รองลงมาห้องควีน ที่เรียนช้าลากเข็นไม่ค่อยไปก็อยู่ห้องสิบท้ายตาราง ผมก็มักจะเกาะกลุ่มอยู่กับเพื่อนหน้าเดิมๆ เกือบครึ่งห้องที่อยู่ห้องสอง

ในนั้นมีบรรจบอยู่ด้วย และมันนี่แหละที่ทำให้ผมพยายามตั้งใจเรียนทุกวิชา เพื่อพาตัวเองหนีเจ้าบรรจบไปอยู่ห้องคิงให้ได้ นึกไม่ถึงว่าพอผลออกมาไอ้คนที่ผมพยายามหนีดันมีรายชื่อติดตามอยู่จองเวรจองกรรมผมต่อที่ห้องคิงอีก

บรรจบเป็นลูกกำพร้า อยู่กับปู่ที่ค่อนข้างดุและเข้มงวด มันเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนผมมาตั้งแต่ ป.1 มันเป็นคนตัวไม่โตมากนัก แต่แข็งแรง ถึกเหมือนวัว กล้ามเนื้อตามตัวล่ำบึ้กผิดวัย ค่อนข้างเอะอะมะเทิ่งมาแต่เล็กๆ และมักตัดสินปัญหาด้วยการใช้กำลัง อยากได้อะไรแย่ง ดึง ทึ้งเอาจากเพื่อน ใครไม่ให้ก็เตะ ไม่สนว่าของใคร

ครูพยายามจัดการกับนิสัยเกะกะระรานคนอื่นของบรรจบด้วยการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าชั้น และมอบหมายงานหลายอย่างโดยเฉพาะเรื่องของการดูแลเพื่อนๆ แต่ยิ่งเหมือนส่งอาวุธให้บรรจบทำอะไรตามใจตัวเองได้สะดวกขึ้น เขาอ้างการเป็นหัวหน้าห้องใช้งานเพื่อนในห้องจุกจิกสารพัดโดยเฉพาะตอนที่ครูไม่เห็น

ผมเป็นเด็กที่มีนิสัยเก็บตัว ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ทำอะไรตามกฎระเบียบตลอด มักตกเป็นลูกไล่ของบรรจบอยู่เสมอ ความที่ไม่อยากมีปัญหาบรรจบใช้ให้ทำอะไรก็เลยทำตามไปกะให้มันจบๆ แต่มันไม่เคยจบ ยิ่งหงอ ยิ่งยอม บรรจบยิ่งสนุกกับการแกล้งผม และเริ่มล้อเลียนทำให้ผมเป็นตัวตลกในสายตาเพื่อนๆ ผมเฝ้าแต่ภาวนา ขอให้เทอมหน้า ปีหน้าไม่ต้องมาเรียนอยู่ห้องเดียวกับมันอีก

แต่ก็ต้องมาสะดุ้งอย่างที่กล่าวไว้ตอนแรกเมื่อมาเจอชื่อมันเรียงติดผมที่หน้าห้องเรียนชั้น ป.4 ตอนนั้นผมแทบจะร้องว้ากออกมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เกือบตลอดเทอม 1 ของ ป.4 ผมถูกบรรจบล้อเลียนและรังแกต่อหน้าเพื่อนใหม่อยู่เสมอ ยิ่งโตขึ้นมันยิ่งแข็งแรง ว่องไว ซัดผมทีเจ็บจนแทบอยากลาออกจากโรงเรียน พ่อแม่ผมก็บอกให้หนี หรือไม่ก็สู้ แต่ผมสู้มันไม่ได้จริงๆ ครูก็ช่วยได้แค่ตอนที่อยู่ในห้องเรียน แต่พอลับตาครูผมก็โดนเรื่อยๆ

จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ผมเปิดกระเป๋านักเรียนหลังจากกินข้าวกลางวัน เจอกระเป๋าตังค์ผู้ใหญ่อยู่ที่ลิ้นชักโต๊ะผม ผมตกใจมาก และโกรธขึ้นมาทันที คราวนี้บรรจบมันกะจะแกล้งให้ผมถูกด่าเป็นขโมยเชียวเหรอ ผมมองซ้ายขวาไม่มีใคร เลยเอากระเป๋าตังค์นั้นไปยัดไว้ในกระเป๋านักเรียนบรรจบ

บ่ายวันนั้น ครูรู้ตัวว่ากระเป๋าสตางค์หาย สั่งค้นกระเป๋านักเรียนทุกคน บรรจบจากที่ยืนหัวเราะคิกคักชำเลืองมองหน้าผมไปมา ก็กลับสะดุ้งสุดตัวหน้าซีดเผือด เมื่อครูค้นเจอกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋าของมันเอง

“ผมไม่ได้เอามานะครู ใครจะกล้า มีคนแกล้งผมแน่นอน ไอ้วิญญูแน่นอน มันขโมยกระเป๋าสตางค์ครูแล้วเอามายัดไว้ในกระเป๋าผม”

ตอนนั้นผมได้แต่ยืนนิ่งหน้าชา ร้อนวูบวาบไปหมด ตอนที่ครูถามผมว่าผมทำหรือเปล่า ผมก้มหน้า มือมีแต่เหงื่อชุ่มเต็มไปหมด แต่ก็ส่ายหน้าแรงๆ หลายที ในอกใจเต้นตึกตักด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงกลัวถูกจับได้

จากวีรกรรมของบรรจบที่ผ่านมาทำให้ครูเชื่อผมมากกว่าบรรจบ ครูโทร.หาพ่อแม่บรรจบ เรียกมาคุยในเช้าวันรุ่งขึ้น ปู่ของบรรจบอายมากถึงกับลากบรรจบออกมาเอามือฟาดก้นไม่ยั้งที่หน้าห้องครูใหญ่ จนครูหลายคนต้องมาช่วยกันห้าม ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมและเพื่อนๆ เห็นบรรจบร้องไห้สะอึกสะอื้นหน้าแดงก่ำ มันเดินกลับเข้ามาในห้อง เก็บข้าวของเครื่องใช้ของตัวเองขณะที่ครูประจำชั้นยืนพูดกับปู่ของบรรจบที่หน้าห้องว่าเรื่องไม่น่าถึงกับต้องย้ายโรงเรียน

แต่ปู่ของบรรจบก็ยืนยันเช่นนั้น ตลอดเวลาที่บรรจบเก็บข้าวของมันมองมาที่ผมด้วยความโกรธแค้น เกลียดชัง ปากสั่น หน้าแดง น้ำตาคลอตา ก่อนจะเดินออกไปมันแกล้งเดินมาทางโต๊ะผม ถ่มน้ำลายลงบนโต๊ะ

“กูจะเอาคืนมึงแน่ไอ้วิญญู มึงคอยดู”

มันไม่กล้าทำอะไรผมเพราะครูยังอยู่หน้าห้อง แต่คำพูดประโยคนั้นเหมือนฝ่ามือฟาดผัวะมาที่หัวผม แรงเสียยิ่งกว่าโดนจริงๆ เสียอีก ตอนนั้นผมกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะมองตามหลังบรรจบที่เดินออกจากห้องเรียนไปและไม่กลับมาอีก

หลังจากนั้นผมไม่ได้เจอบรรจบอีกตลอดวัยประถม จนกระทั่งเข้าเรียนมัธยม 4 ชีวิตที่สงบสุขเมื่อไม่มีไอ้บรรจบก็กลับมาเลวร้ายอีกครั้ง

(อ่านต่อตอนสอง)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน