แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร จะทรงอุทิศพระวรกายเพื่อประเทศชาติและพสกนิกรชาวไทยอย่างมากมาย แต่พระองค์ก็มิได้ทรงละเลยบทบาทสำคัญในฐานะพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้ง 4 พระองค์

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงได้รับการอภิบาลใกล้ชิดจากสมเด็จพระราชชนนีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทรงยึดหลักสำคัญ 2 ประการ ในการเลี้ยงดูอบรมพระราชโอรส-พระราชธิดา คือ ต้องมีอนามัยสมบูรณ์ และต้องมีระเบียบวินัย แต่ไม่บังคับจนเข้มงวดเกินไป ทรงเอาพระทัยใส่ในเรื่องพระกระยาหารให้ถูกต้องตามหลักโภชนาการ ให้ได้ทรงเล่นออกกำลังกาย

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงเจริญพระชนมพรรษา และทรงมีครอบครัวของพระองค์ ทรงนำแนวทางปฏิบัติในเรื่องระเบียบวินัยและการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ มาเป็นหลักปฏิบัติในการอบรมพระราชโอรสและพระราชธิดา โดยทรงมอบหมายพระราชภาระในการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนพระราชโอรสและพระราชธิดาให้เป็นหน้าที่ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

พระราชดำรัสที่สั้นแต่ชัดเจนของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิรา ลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่หน้ากุฏิสมเด็จพระญาณสังวรฯ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2518 ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือเฉลิมพระเกียรติ “ในหลวงของเรา” เปิดเผยให้เห็นถึงความรู้สึกเบื้องลึกในพระราชหฤทัยแห่งองค์พระราชโอรสที่ทรงมีต่อทูลกระหม่อมพ่อ

“…ข้าพเจ้าก็เป็นข้าพระบาทคนหนึ่งของพระเจ้าอยู่หัว มีหน้าที่ต้องเคารพบูชาพระองค์ เช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งสุดจะพรรณนา ก็ตอบได้แค่เพียงเท่านี้…”

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเล่าไว้ในหนังสือสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีว่า เมื่อทรงพระเยาว์ พระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์ทรงปฏิบัติตามตารางเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงวางไว้อย่างเคร่งครัด เช่น “…เช้าต้องดูหนังสือ กินข้าวแล้วเดินไปโรงเรียน ตอนบ่ายกลับมาเฝ้าฯ ให้ท่านเห็นหน้าตา บ่ายสองสามโมงออกอากาศ (เดินเล่น) ห้าโมงขึ้นมากินข้าวเย็น…ทุ่มหนึ่งก็เข้านอน…”

ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี มีรับสั่งสะท้อนถึงภาพความเป็นกษัตริย์ผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลกของทูลกระหม่อมพ่อว่า

“…ท่านทำงานหนักมาก ทรงเสียสละมาก เป็นตัวอย่างที่ดีของลูกๆ ท่านไม่เคยคิดถึงความสุขของตัวเอง ท่านไม่เสด็จฯ ออกนอกประเทศมานานแล้ว เพราะทรงห่วงประเทศมาก ท่านจะทรงคิดถึงแต่ประชาชนของท่าน และจะทรงสอนลูกๆ เสมอว่า ให้นึกถึงคนอื่นก่อนตัวเอง ก่อนจะไปสอนคนอื่นได้ เราต้องทำตัวให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ปกติจะไม่ได้สอนกันตรงๆ แต่จะทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่าง ให้ลูกๆ ได้เรียนรู้จากการตามเสด็จ…”

และเพราะตามเสด็จฯ ถวายการรับใช้อย่างใกล้ชิด สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทรงทราบดีถึงพระราชหฤทัยลึกๆ ของทูลกระหม่อมพ่อ ดังได้พระราชทานสัมภาษณ์ไว้ในหนังสือเฉลิมพระเกียรติ “ในหลวงของเรา” ว่า

“ทูลกระหม่อมพ่อจะพระราชทานคำแนะนำในทุกด้านที่ไปทูลถาม เพราะทรงทราบทุกเรื่อง นอกจากนั้นยังทรงสนับสนุนในการค้นคว้าหาความรู้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือทรงสนับสนุนให้ใช้ความคิดในทุกด้าน ไม่เคยทรงเบื่อที่จะฟังการออกความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ จะทรงช่วยวิจารณ์ความคิดนั้นๆ และพระราชทานพระราชดำริเพิ่มเติมด้วย…ทูลกระหม่อมพ่อจะทรงใช้ในงานจิปาถะต่างๆ ไม่ได้มีหน้าที่แน่นอน นอกจากได้สนองพระเดชพระคุณในการคอยดูแลสอดส่องทุกข์สุข และให้กำลังใจประชาชน คอยดูแลในด้านงานอาชีพ

สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่โปรดคือ การกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรม ไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประชาชนชาวไทย…เวลาที่ทรงพระสำราญ คือ เวลาที่สด็จออกวางโครงการพัฒนาประเทศ และเห็นว่าพระราชดำริคงจะมีประโยชน์ต่อประชาชนในเวลาที่เห็นผลจากโครงการต่างๆ อีกประการหนึ่งคือ การที่ได้ทอดพระเนตรเห็นประชาชนมีน้ำใจต่อท่านและประชาชนด้วยกัน ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะมีส่วนช่วยพระองค์ท่านได้โดยการช่วยตัวเอง ช่วยเพื่อนร่วมชาติ คนอื่นๆ มีความรักความสามัคคีกัน ทำตนเป็นพลเมืองดี เห็นแก่ชาติบ้านเมือง…”

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มีรับสั่งถึงทูลกระหม่อมพ่อด้วยความปลื้มปีติ

“…ปกติแล้วทูลกระหม่อมพ่อทรงให้คำแนะนำทางด้านเทคนิคเสียส่วนใหญ่ งานของพระองค์ท่านกับของฉันนั้นโยงกันบ้าง ไม่โยงกันบ้าง อย่างกรณีฝนหลวง ท่านก็ทรงมีรับสั่งถามมาว่า ใช้สารเคมีอย่างนี้ๆ แล้วดีหรือยัง หรือสารเคมีอย่างนี้ถ้าจะหามากๆ หาได้ที่ไหน…”

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เคยพระราชทานสัมภาษณ์ถึงแรงบันดาลพระทัยที่ทรงได้รับจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ความตอนหนึ่งว่า

“…ทั้งสองพระองค์เป็นแรงบันดาลใจอย่างมาก ท่านทรงเป็นรูปแบบให้เห็นว่าเราควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร ตั้งแต่เล็กๆ ก็เห็นทูลกระหม่อมพ่อ สมเด็จแม่ทรงงานเกือบทุกวันมาตลอดระยะเวลา 50 ปี นับจากที่ข้าพเจ้าเกิดจนถึงปัจจุบันนี้ ท่านไม่เคยทรงเปลี่ยนทั้งพระทัย ทั้งพระวรกาย ทรงทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อประชาชนคนไทย ตรงนี้ถือเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญยิ่งสำหรับลูก ซึ่งข้าพเจ้าก็ตั้งใจว่าจะต้องทำให้ได้อย่างท่าน จะสนองพระเดชพระคุณในสิ่งที่ทรงใช้งาน พยายามจะทำถวายทุกอย่าง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงสั่งสอนในเรื่องการทำงานมากกว่า โดยเฉพาะการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเป็นคำสอนของทูลกระหม่อมพ่อและสมเด็จแม่ที่หล่อหลอมมาตั้งแต่เด็ก ท่านมีรับสั่งว่า “เกิดเป็นเจ้าต้องรับใช้ประชาชน” จากตรงนั้นเลยติดเป็นค่านิยมที่ว่า เราต้องทำงานเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่มีฐานะยากจนและไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียง..”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน