“นทธี ศศิวิมล”

ผมตกงานมาเป็นปีแล้ว ได้แต่อาศัยเงินเก็บอยู่มาจนโชคดีถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 3 ได้มาแปดหมื่นบาท อาศัยใช้จ่ายอย่างประหยัดและไม่บอกใครเลยว่าถูกรางวัล จึงอยู่รอดมาได้อย่างปลอดภัย

ผมไม่ได้กลับบ้านที่กาฬสินธุ์มาเกินสิบปีแล้ว หลังแม่ตาย พ่อไปมีเมียใหม่ ผมจึงกลายเป็นคนตัวคนเดียว ใช้ชีวิตด้วยตัวเองในเมืองหลวง ห้องสมุดจึงเป็นที่ที่ผมชอบที่สุด จากไม่ชอบอ่านหนังสือ เมื่ออยู่ท่ามกลางหนังสือเป็นพันเล่มอย่างนี้จึงกลายเป็นคนอ่านอย่างไม่เลือก

ที่นี่ก็มีเหมือนห้องสมุดที่อื่นแหละ มีป้าแก่ๆ คนหนึ่งเป็นบรรณารักษ์ แกไม่เคยคุยกับผมเลย แกจะอยู่บนโต๊ะของแกและนั่งหลับแทบทั้งวัน บางทีก็นอนอ้าปากกว้าง น้ำลายไหลยืดเสียด้วยซ้ำ นี่ถ้าผมจะขโมยพัดลมหรือข้าวของในห้องสมุดไปสักชิ้นแกก็คงไม่รู้หรอก

ขาประจำที่เห็นมีแต่ผมคนเดียว ห้องสมุดนี้จะเปิดหน้าต่างเพียงด้านหน้า อาจจะด้วยเหตุผลที่ไม่มีคนเข้ามาเลย ด้านหลังจึงมืดเพราะไม่เปิดไฟ มีไฟที่เปิดไว้หนึ่งดวงและหน้าต่างสี่บานที่เปิดกว้างรับลมและแสงสว่างเต็มที่ ถัดจากอาคารนี้มีอีกอาคารหนึ่ง แต่ติดป้ายห้ามเข้า เตรียมปรับปรุง แต่ผมก็เห็นป้ายนี้มาตั้งแต่แรกเข้าแล้ว และไม่เห็นจะมีการปรับปรุงเกิดขึ้นเลย

วันหนึ่งผมตัดสินใจถามป้าบรรณารักษ์เรื่องนี้ แต่ก็คาดไว้แล้วว่าแกอาจจะไม่ตอบ เพราะขนาดผมถามหาหนังสือบางเล่มแกยังแค่ชี้ๆ ไปข้างหน้า ราวกับบอกว่าไปหาเอาเองไป ทว่าคราวนี้ผิดคาด แกตอบเสียงเบาๆ ว่า “อย่าเข้าไปนะ” เมื่อผมทำหน้าสงสัย แกจึงพูดต่อ “เห็นมั้ยล่ะ ตึกมันเก่า ดำๆ ด่างๆ แบบนั้นเพราะเคยไฟไหม้ มีคนตายในนั้นด้วย”

ผมตอบ “ผมไม่กลัวผีหรอก”

“ไม่รู้กี่คนแล้ว เข้าไปจับไข้หัวโกร๋นออกมาหมด” ป้าแกตอบเหมือนขู่

“ป้าไปกับผมไหมล่ะ” ผมท้า

ป้าแกมองหน้าผม ก่อนจะหัวเราะฮึๆ “เลิกงานเจอกัน” ป้าแกตอบเสียงเรียบ

ผมประหลาดใจไม่น้อยที่ทั้งพูดกับผมแถมรับคำท้า ผมจึงนั่งรอในห้องสมุดจนถึงเย็น หลังแกปิดประตูห้องสมุดเรียบร้อย ผมเดินตามหลังแกจนมาหยุดหน้าอาคารที่ว่า ป้าพูดขึ้น “เธอรู้ประวัติของที่นี่ไหม”

ผมส่ายหัว ป้าจึงเล่า “เมื่อก่อนมันคือห้องสมุดแหละ พอไฟไหม้เขาก็สร้างที่ทุกวันนี้เป็นห้องสมุดขึ้นแทน ที่ไม่ได้รื้อเพราะคนที่เข้ามารื้อทุกคนมีอันโดนหลอกหมด อย่างคนแรกมาพร้อมลูกน้อง สั่งให้ลูกน้องเข้าไปเตรียมทุบ พูดจบตัวเองก็ลงไปชัก ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นโรคลมชักมาก่อน พอหยุดชักก็ตายแล้ว หรือรายที่สองนี่ไม่เชื่อเรื่องที่เล่าว่ารายแรกตายไปก็มาเข้าฝันภรรยาว่าที่ตนตายเพราะไปรื้อตึก รายที่สองนี่ฟังแล้วก็หัวเราะ แล้วบอกตนเองนี่แหละจะทุบตึก ทุบให้ฟรีๆ

ด้วย เขาทำธุรกิจรับทุบตึกอยู่แล้ว ปรากฏว่าแค่เดินเข้าไปก็ต้องวิ่งแหกปากร้องออกมา เพราะเห็นคนตัวไหม้เป็นตอตะโกยืนกันเต็มในห้อง

ห้องสมุดร้างถูกทิ้งไว้จนผ่านไปหลายปี มีบรรณารักษ์คนใหม่มาประจำ เธอไม่เชื่อเรื่อง ผีสาง พ่อเธอรับเหมาก่อสร้าง อยากได้งานก่อสร้างอาคารห้องสมุดใหม่ เธอจึงให้พ่อเธอตกลงกับทางราชการจะทุบตึกให้ฟรี พร้อมขอเป็นผู้รับจ้างสร้างอาคารใหม่ วันที่พ่อเธอเข้ามาทุบตึก เธอก็เจอกับเสียงกรีดร้องตลอดเวลาที่ ย่างเท้าเข้ามาสำรวจห้องสมุดที่ถูกไฟไหม้ จากนั้นก็เห็นเด็กวิ่งผ่านไป ผู้ชายและผู้หญิงที่ตาย ในที่เกิดเหตุวิ่งผ่านหน้าไปอีก เธอแทบบ้าจนต้องออกจากอาคาร ป่วยเป็นไข้เพ้ออยู่หลายวัน ภายหลังพ่อเธอก็ตกตึกที่ไปรับเหมาก่อสร้าง เสียชีวิตหลังเดินสำรวจอาคารที่ไปรับงาน”

ผมฟังป้าเล่าด้วยน้ำเสียงอย่างทำนองขู่ๆ “กลัวไหม ถ้ากลัวกลับก่อนได้นะ”

“พูดเหมือนป้าจะอยู่คนเดียว”

ป้าแกหัวเราะลงคอ ซึ่งทำเอาผมเสียว สันหลัง แกหัวเราะอย่างเยือกเย็นจนผม ต้องเหลียวมองแก

ผมเดินเข้าไป พอเหลียวมาป้าแกก็สะกิดไหล่ ทำเอาผมสะดุ้ง

“ป้า อย่าทำแบบนี้สิ ตกใจหมด”

“ฮ่าๆ แกกลัวนี่ นี่ชั้นจะเล่าต่อให้จบ ตะกี้ยังไม่จบ” พูดจบ ป้าก็เล่าต่อโดยที่ผมไม่ได้ถาม

“หลังจากนั้นลูกสาวคนรับเหมาก็กลับมาที่อาคารนี้ ด้วยทั้งอารมณ์โกรธที่ทำให้พ่อตายและอารมณ์โมโห เธอสั่งคนงานกว่าสามสิบคนตะลุยทุบตึกจนสำเร็จ”

“อ้าว สำเร็จตรงไหนเรายืนอยู่นี่ไง” ทันทีที่ผมพูดจบป้าแกก็หัวเราะเสียงก้อง แล้วทันใดนั้นเองผมก็อยู่ในที่รกร้างว่างเปล่า ผมยืนงุนงงอยู่อย่างนั้น แล้วพยายามวิ่งออกจากที่แห่งนั้นด้วยความตระหนกตกใจ ผมจำได้ว่าตัวเองอยู่นานมาก สุดท้ายก็หมดแรงแถมหมดสติโดยไม่รู้ตัว

เรื่องราวของผมถูกแชร์กันในเฟซบุ๊กจนโด่งดัง เนื่องจากมีคนไปเจอผมนอนสลบอยู่ริมถนน ตามตัวผมไม่มีบัตรอะไรทั้งนั้น จึงนำส่งโรงพยาบาล พอผมเล่าเรื่องห้องสมุดและป้าบรรณารักษ์ลงเฟซ ก็มีคนมาคอมเมนต์เล่าเรื่องที่เคยได้ยินกันหลายคนล้วนเจอผีห้องสมุดนี้ทั้งนั้น กระทั่งเพื่อนผมด้วย

“ห้องสมุดไฟไหม้จนไม่เหลืออะไรแม้แต่เสา กลายเป็นที่โล่ง ป้าเป้ออะไรนั่นก็ตายห่าไปนานแล้ว มึงเจอเอาหนักจริงๆ เจอมาเป็นปีๆ ซวยจริงๆ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน