“นทธี ศศิวิมล”

ผมเลี้ยงหมาตัวหนึ่งชื่อแดง มันเป็นลูกหมาที่ผมไปเจอมันอยู่ข้างถนนตอนกลับจากทำงาน ผมหยุดรถไปช่วยมันจากกลางถนน เกรงรถจะทับมันตาย ก็พอดีเจอป้าคนหนึ่งบอกว่า เจ้าแดงเหลือรอดอยู่ตัวเดียว พี่น้องที่ออกมาพร้อมมันถูกรถทับตายไปหมดแล้ว แม่มันก็ถูกรถชนเพิ่งตายไป ตอนเช้าเอง ผมจึงนำมันมาเลี้ยงและตั้งชื่อว่าแดง เพราะขนตามตัวของมันที่ดูแดงๆ มากกว่าจะเป็นสีน้ำตาล

ไอ้แดงซื่อสัตย์ต่อผมและคนในบ้านมาก ลูกชายลูกสาวผมก็รักมัน ภรรยาผมจากคนที่ไม่ค่อยชอบหมาแมวยังรักมันเลย มันอยู่ที่บ้านเก่าแถวรังสิตคลอง 12 สองปี จนผมมาซื้อบ้านจัดสรรย่านสายไหม กรุงเทพฯ ผมก็นำมันมาเลี้ยง ไม่ปล่อยทิ้งไว้ที่บ้านสวน

หมู่บ้านจัดสรรทำให้เจ้าแดงไม่ค่อยมีที่วิ่งเล่น มันชอบมุดรั้วออกไปเที่ยวเล่นไกลๆ ทั้งๆ ที่ผมใช้ตาข่ายพันรอบรั้ว จนสูง บางครั้งก็เอามันไว้ในบ้านไม่ให้ออกไป แต่มันก็ชอบมุดออกตอนที่ผมเปิดประตูบ้าน รั้วตาข่ายที่กั้นไว้ก็พบว่ามันกัดแทะจนขาดและหนีออกจากบ้านไปทางนั้น แต่มันก็กลับมาทุกคืน

วันหนึ่งที่มันหลุดไปพักใหญ่ ก็มีลุงคนหนึ่งมาหาผมถึงบ้าน แกถามว่าใช่หมาผมหรือเปล่าตัวนั้น ว่าแล้วก็ชี้ไปที่เจ้าแดงที่กำลังวิ่งไล่นกอยู่กลางสวนหย่อมในหมู่บ้าน เมื่อผมตอบว่าใช่ เขาก็บอกให้ดูแลดีๆ หน่อย มันชอบเข้าบ้านเขากัดแทะเล่นต้นไม้เขาเสียหายไปหลายต้นแล้ว ผมรีบขอโทษลุงยกใหญ่พร้อมแจ้งว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้

ลุงแกหัวเราะ พร้อมพูดว่า พ่อหนุ่มชดใช้ไหวหรือ ต้นโป๊ยเซียนแคระพวกนั้น ต้นเป็นแสน ถ้าคราวหน้ามันมาบ้านเขาอีก เขาจะไม่เกรงใจแล้วนะ

ผมรีบยกมือไหว้ขอโทษ “อย่าทำมันเลยครับ”

“หมาตัวเดียวทำแน่ มากกว่านี้ฉันยังเคยทำ”

ผมฟังแล้วตกใจแต่ก็รีบให้สัญญาว่าจะไม่ให้มันหลุดออกไปอีกแล้ว

ผมขังเจ้าแดงไว้ในบ้าน เพราะได้ยินเพื่อนบ้านเล่าว่าลุงคนนี้เป็นนายทหารใหญ่ เคยเห็นไล่ตีหมาที่เดินผ่านหน้าบ้าน แมวของเพื่อนบ้านบางคนที่ถูกยาเบื่อตายก็น่าจะมาจากฝีมือของลุงคนนี้ แต่ไม่มีหลักฐานมัดตัว สมัยก่อนยังไม่มีกล้องวงจรปิดใช้กัน

แม้จะดูแลดีเยี่ยมอย่างไร ก็มีวันที่มันหลุดออกไปจนได้ตามประสาหมาหนุ่ม แม้ผมจะทำหมันมันแล้วก็ตาม ผมรีบเดินตามหามัน แต่ไม่เจอ ผมอดห่วงมันไม่ได้ เกรงว่าหลุดเข้าไปบ้านนายทหารใหญ่จะลำบาก

เย็นนั้นเองที่ผมเห็นเจ้าแดง เดินโซเซตัวสั่นๆ น้ำลายฟูมปาก นาทีนั้นผมรู้แล้วว่าเกิดอะไรกับเจ้าแดง ผมรีบสตาร์ตรถพามันไปหาหมอ แต่ไม่ทัน มันตัวสั่นครางเบาๆ แล้วนิ่งไปก่อนถึงโรงพยาบาลสัตว์ ทั้งเมียและลูกเสียใจมาก กว่าผมจะทำใจได้ก็นาน

เวลาผ่านไปหลายปีที่ผมไม่ได้คุยกับบ้านลุงนายทหารใหญ่เลย ว่าไปแกเองไม่คุยกับใครมากกว่า แกสร้างรั้วรอบขอบชิดเสียสูงแถมทึบเสียด้วย ไม่เคยออกมายุ่งเกี่ยวกับใคร แม้แต่เวลาประชุมของหมู่บ้านหรืองานบุญงานอะไรที่ชาวหมู่บ้านจัดขึ้นแกก็ไม่เคยสนใจเข้าร่วม

น่าจะราวๆ สิบปีผ่านไปนับจากเจ้าแดงจากไป วันหนึ่งก็มีคนมากดกริ่ง เมื่อผมออกไป หนุ่มใหญ่คนหนึ่งก็มาบอกว่า ให้ผมไปบ้านแกหน่อยได้ไหม พ่อแกป่วยหนัก ใกล้จะเสียชีวิตแล้ว พ่ออยากพบผม

ผมตกใจ เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยากพบผม เมื่อเท้าความกัน ผมจึงทราบว่าพ่อของหนุ่มใหญ่ก็คือนายทหารใหญ่คนนั้น

เมื่อผมเข้าไป ภาพแรกที่ผมเห็นคือลุงแกยกมือไหว้ผม ผมรับไหว้แทบไม่ทัน ลุงแกพยายามยันตัวเองขึ้นนั่ง ลูกชายแกเข้าประคองแล้วบอกว่า พ่ออาเจียนมาเป็นอาทิตย์ๆ แล้ว กินอะไรก็อาเจียนออกหมด หาหมอต่อกี่หมอก็ไม่หาย

ผมเห็นลุงแกมือสั่นอยู่ตลอดเวลา ลูกชายแกจึงพูดต่อ “พ่อเป็นพาร์กินสันมาห้าปีแล้ว นับวันมีแต่จะหนักขึ้นๆ จนทุกวันนี้จับช้อนกินข้าวเองไม่ได้แล้ว”

ลุงแกพูด “ผมขอโทษ อโหสิกรรมให้ผมด้วย”

“เรื่องอะไรหรือครับ ผมไม่เข้าใจ”

“เรื่องที่ลุงทรมานหมาคุณจนตายน่ะ ลุงสำนึกผิดแล้ว ไม่อยากให้บาปติดตัวลุงไปถึงชาติหน้า อโหสิกรรมให้หน่อยนะ”

ผมรับคำว่าครับออกไป แล้วลูกชายแกก็ เล่าต่อ “พ่ออาเจียนตลอด มีน้ำลายฟูมปากด้วย แปลกมาก แกบอกแสบท้อง แสบคอไปหมด ทรมานมาก ตอนที่พ่อทำกับหมาคุณผมก็อยู่ คือ?”

อยู่ๆ ลุงก็พูดคล่อง แกแย่งลูกชายพูด “ลุงผิดเอง ลุงให้มันกินลูกชิ้นคลุกยาเบื่อ คลุกไม่มาก กะว่ามันต้องทรมาน ลุงเห็นมันเดินงงๆ ตัวสั่นๆ ก็จับมันมัดกับเสาแล้วตีมัน ก่อนจะจับปากมันกรอกน้ำยาล้างห้องน้ำ ลุงทำไปอย่างสาแก่ใจ แล้วที่ลุงทำกับมันก็กลับมาทำให้ลุงทรมานทุกวันนี้ อโหสิกรรมให้ลุงด้วยนะ”

ลุงแกเสียชีวิตในคืนนั้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน