“นทธี ศศิวิมล”

นานมากแล้ว ที่ดินไม่ได้เห็นลูกหนูเกิดใหม่ตัวแดงๆ ชมพูๆ หรือแบบที่ขนเพิ่งขึ้น ทั่วตัว ดูอ่อนนุ่ม อ่อนแอ บอบบาง ตัวเล็กกระจิ๋ว ขาสี่ข้างคลานไปมา สั่นระริก เวลาที่แม่หนูออกไปหาอาหาร พวกมันช่างน่าเวทนา เกาะกอดกันเป็นก้อนกลม

เมื่อสักห้าหกขวบเขาเคยเจอพวกมันในเบาะที่นอนเก่าในห้องเก็บของหลังบ้านที่สร้างขึ้นด้วยอิฐบล็อกเปลือย พื้นเทปูน ตรงซอกระหว่างบ้านสองหลัง มุงด้วยสังกะสี เป็นห้องยาวๆ เก็บของสารพัด แม่หนูแอบมากัดเบาะ แล้วเข้าไปออกลูกในนั้น ในสายตาของเด็ก มันช่างน่ารักน่าทะนุถนอม เหมือนเพื่อนในการ์ตูนดิสนีย์

ดังนั้นจึงเป็นความเจ็บปวด เมื่อเขาเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ แล้วพ่อรีบเข้าไปในห้องเก็บของ ลากที่นอนอันนั้นออกมา แล้วจัดการสะบัดลูกหนูตกลงมาที่พื้น เอาไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดใส่ที่ตักผงแล้วเอาไปเทลงในคลองหลังบ้าน ดินร้องไห้ปานจะขาดใจโดยที่พ่อแม่ไม่เข้าใจ

หลังจากนั้นอีกหลายปี เขามักจะเข้าไปในห้องเก็บของโดยไม่บอกผู้ใหญ่ แอบคอยดูว่าแม่หนูจะกลับมาอีกหรือไม่ และเขาก็ได้เจอพวกลูกหนูครอกใหม่ๆ อีกหลายครอก ก่อนที่จะมาเจอพวกมันเหลือแต่โครงกระดูกเพราะมดพากันมาเจาะกิน หรือไม่พอ เริ่มโต ลืมตาวิ่งได้ มันก็พากันวิ่งหนีหายแยกย้ายไปกันจนหมด

ความทรงจำในช่วงเวลาเหล่านั้นของดินคือความร้อนแห้งผากในห้องเก็บของที่ไม่มีช่องระบายอากาศนอกจากประตูด้านหน้า กำแพงปูนเปลือยทั้งสี่ด้านที่ปล่อยไอดินกลิ่นปูนระเหิดออกมาอยู่ตลอด โดยเฉพาะในหน้าร้อน ผิวหนังที่ชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ เสียงลมหายใจแผ่วผ่าวของตัวเองที่ล่องลอยคว้างอยู่ในความเงียบสนิทของพื้นที่แคบๆ นั้น

ดินเติบโตมาโดยมีห้องเก็บของห้องนั้นติดตัวมาในจินตนาการด้วย ในเวลาที่เขาเหงา เศร้า ท้อ เขานึกภาพตัวเองหลบเข้าไปซุกนอนในโลกใบเก่าใบนั้นที่ไม่มีใครเคยล่วงล้ำเข้าไปได้นอกจากตัวเขา บ้านหลังนั้นถูกทุบทิ้งขายต่อไปนานแล้ว แต่เขายังคงมองหาห้องเก็บของและพวกลูกหนูจากซอกมุมต่างๆ ของเมืองอยู่เสมอ

จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาเบื่อเกินจะกลับไปนอนที่ห้องเลยตกปากรับคำเพื่อน ไปกินอาหารที่ร้านหนึ่ง ดื่มจนเมามาย ตอนช่วงท้ายๆ เหมือนว่าเพื่อนพาผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างเล็ก มีน้ำมีนวล ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นอย่างเด็กเชียร์เบียร์ มาช่วยพยุงเขาเดิน ดินจำได้ถึงสัมผัสนุ่มอุ่นและกลิ่นของเธอได้เพียงเลือนรางก่อนหลับไป

ดินตื่นมาในตอนเช้า มองรอบตัว ประหลาดใจราวกับยังอยู่ในความฝัน ห้องนั้นเป็นห้องอิฐบล็อกเปลือยที่อากาศร้อนระอุ ไม่มีช่องระบายอากาศนอกจากประตูที่เปิดแง้มไว้ ชายหนุ่มนอนอยู่บนเบาะนอนเก่าๆอับๆ ข้างตัวมีหญิงสาวผิวพรรณเปล่งปลั่งคนหนึ่งกำลังนอนตะแคง ข้างตัวเธอมีทารกตัวแดงๆ กำลังหลับตาพริ้มดูดนมแม่ของแกอย่างมีความสุข

“หนูเห็นพี่นอนหลับสนิทเลยไม่กล้าปลุก” เธอว่ากลิ่นเหงื่อ กลิ่นน้ำนม กลิ่นทารกและกระไอความร้อนจากผิวเนื้อมนุษย์ทำให้ดินรู้สึกเหมือนกลับเป็นเด็กที่นอนข้างๆ แม่

เขาลุกขึ้น อยากพูดคุยอะไรกับเธอแต่นึกคำพูดไม่ออก

“เอ่เอ๊ นอนซะนะหนูแดงของแม่” หญิงสาวร้องกล่อมลูกเบาๆ ในลำคอ มองทารกในอ้อมแขนด้วยแววตาอ่อนโยนและอ่อนระโหย เขายิ้มเมื่อเห็นปากเล็กๆ นิ่งและคลายจากหัวนมแม่ น้ำนมไหลออกจากมุมปาก แม่ของแกมีน้ำนมมากพอเลี้ยงลูก นั่นเป็นเรื่องดี

ดินเปิดกระเป๋าสตางค์ หยิบเงินทั้งหมดจำนวนสามพันสี่ร้อยสามสิบบาท ส่งให้เธอ เหลือแค่ค่ารถเมล์พอ กลับห้องพัก อวยพรให้เธอกับลูกแข็งแรง มีชีวิตที่ดีก่อนเดินออกจากที่นั่นมา

บ่ายวันต่อมา ดินผ่านไปที่นั่นอีก เขาแวะเข้าร้านอาหารเดิม ดื่มเบียร์คนเดียว ถามหาหญิงสาวแม่ลูกอ่อนคนนั้น แต่ก็ต้องใจร่วงวูบ

“นวลเหรอ มันย้ายไปแล้วพี่ เมื่อคืนผัวมันกลับมาแล้วทะเลาะกัน ตีนวลสลบแล้วเอาลูกไปโยนลงคลอง นวลมันร้องไห้จนเป็นลม ตื่นมามันก็เก็บเสื้อผ้าหนีไปเลย ลูกมันก็ยังอยู่ที่มูลนิธิกู้ภัยโน่น พี่ดูคนอื่นแทนละกัน”

เบียร์ที่เหลือในแก้วขมขึ้นจนดินกลืนไม่ลงอีก เขาเผลอกัดริมฝีปากจนในปากเค็มปร่าไปด้วย คาวเลือด

หลังจากคืนนั้น ระหว่างเดินทางไม่ว่าจะผ่านไปที่ไหน ดินมักจะมองหาหญิงสาวอุ้มทารกน้อยตามซอกมุมเล็กๆ ของเมือง แล้วหวนนึกถึงลูกหนูตัวแดงๆ ที่เขาเคยไปนอนเฝ้าดูในวัยเด็ก อธิษฐานให้หญิงสาวได้เจอสิ่งดีๆ และได้พบสถานที่ที่อบอุ่นปลอดภัย

ดินยังคงไปนั่งดื่มที่ร้านนั้นนานๆ ครั้ง เด็กสาวคนอื่นในร้านรู้ดีว่าเขาชอบฟังเรื่องราวของนวล ที่ชาวบ้านพบศพเธอหลังจากนั้นไม่นาน ในคลองสายเดียวกับที่สามีเธอโยนลูกลงไป หลายคนว่าเคยเห็นหญิงสาวใส่กางเกงขาสั้นเดินอุ้มลูกน้อยแนบอก ฮัมเสียงเพลงเห่กล่อมอ่อนหวานเศร้าสร้อย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในกำแพงปูนของซอกตึกร้อนระอุ ราวกับว่าแม้หลังความตาย นวลกับลูกก็ยังไม่รู้จะไปไหน ยังคงวนเวียนรออะไรบางอย่างที่อาจไม่มีวันมาถึง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน