“นทธี ศศิวิมล”

โชคไม่ดีบริษัทที่ผมทำงานอยู่ปลดคนงานออกเยอะ แถมขอลดเงินเดือนพนักงานออฟฟิศทุกคน ซึ่งมีทางเลือกให้สองทาง คือหนึ่งให้ออก แต่ได้เงินตอบแทน 12 เดือน กลับยังทำงานต่อแต่รับเงินเดือนลง 30% เพื่อน ทุกคนเลือกเอาอย่างแรก

ผมเองอายุก็ใกล้จะห้าสิบแล้ว ลูกก็ยังเรียนหนังสือ แม้พวกมันสามคนจะช่วยทำงานพาร์ตไทม์เลี้ยงตัวเองบ้าง แต่ผมมีแม่ที่อายุเก้าสิบห้า เจ็บออดๆ แอดๆ เมียก็ไม่แข็งแรงเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลเสมอ ทำงาน กินเงินเดือนมาทั้งชีวิตเงินเก็บไม่เคยได้เกิน สามหมื่น ผมจึงตัดสินใจอยู่ต่อ แล้วเลือกเพิ่มเติมให้ตัวเองคือ ขายรถยนต์ทิ้งแล้วหันมาซื้อ มอเตอร์ไซค์เพื่อการประหยัด

ผมไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์มาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่พ้นวัยรุ่น การมาใช้อีกครั้งในวัยจะห้าสิบจึงต้องเรียนรู้พอสมควร ผมซื้อมอเตอร์ไซค์แบบเกียร์เพราะถูกกว่าและน่าจะทนกว่าแถมประหยัดกว่าพวกออโตเมติกที่กำลังนิยมกัน

ละแวกที่ผมอยู่มีหลายหมู่บ้านจัดสรรและชุมชนคนหาเช้ากินค่ำคละเคล้ากัน ตอนเช้าๆ และค่ำๆ ดึกๆ หน้าปากทางจะมีร้านค้าแผงลอย เยอะแยะ ผมเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งขายน้ำเต้าหู้มานานหลายปีแล้ว เขาออกจะมีน้ำใจกับผม บางครั้งก็มักจะขายราคาถูกให้ เมื่อเหลือสองสามถุงสุดท้าย หลายครั้งถึงกับแถมฟรีให้ก็ หลายครั้ง

เช้าวันหนึ่งผมจะรีบออกไปทำงานแต่เช้า เมื่อมาที่รถมอเตอร์ไซค์เสียบกุญแจเข้าไป กลับเจอว่ารูกุญแจอยู่ที่ on นั่นหมายถึงผมดึงกุญแจออกหลังเสียบเข้าไปและออนไว้ทั้งคืนอย่างนี้แบตเตอรี่ไฟหมดแน่ๆ

ผมพยายามสตาร์ตเท้า ใช้มาเกือบปีผมไม่เคยสตาร์ตเท้าเลยเพราะมันติดยาก ได้แต่สตาร์ตมือแทน ผมสตาร์ตเท้าเป็นร้อยๆ ครั้งเครื่องก็ไม่ติด ผมไม่แน่ใจว่าเพราะไฟแบตฯ หมดหรือเปล่า ผมไม่มีความรู้พอ จึงจำใจต้องเข็นออกจากบ้านไปหาร้านซ่อม

เข็นออกมาถึงหน้าปากทาง ระยะทางกว่าเจ็ดร้อยเมตร เหนื่อยพอสมควร จู่ๆ ก็มีคนสะกิดไหล่จากด้านหลัง มือนั้นเย็นเฉียบจนสะดุ้งโหยง หันไปจึงเห็นเด็กหนุ่มที่ขายน้ำเต้าหู้ที่ผมเคยซื้อดื่มประจำแต่หายไปพักใหญ่ ใบหน้าซีดเซียว ปากคล้ำแทบไม่มีสีเลือด

“รถเป็นไรครับเฮีย” เขาว่า ดูท่าเหมือนคนไม่ค่อยสบาย

“รถน่าจะแบตฯ หมด” ผมตอบ รู้สึกร้อนใจ อยากจะไปเร็วๆ แต่ก็กลัวเสียมารยาท

“ทำไมไม่สตาร์ตเท้า” เด็กหนุ่มขยับจะเข้ามาช่วยทั้งที่ท่าทางดูระโหยพิกล

“ลองแล้วตั้งนาน ไม่ติดเลย”

แล้วเขาก็เดินมาสตาร์ตเท้า ปรากฏว่าทีเดียวติดเลย น่าแปลก ทั้งที่ดูป่วยจนเหมือนแทบจะไม่มีแรงเดินอย่างนี้แล้วแท้ๆ

ผมดีใจมาก “อ้าว นึกว่าแบตฯ หมดแล้วจะสตาร์ตเท้าไม่ติดด้วย ไม่แน่ใจ”

“ไม่เกี่ยวเฮีย แบตฯ หมด เฮียสตาร์ตทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงหรือเข็นไปเรื่อยแบตฯ ก็จะเข้า”

“โห ขอบคุณมากเลย ไม่ได้น้องผมไปทำงานสายแน่ ขอบคุณมาก วันนี้ขายดีไหม”

ถ้าตาไม่ฝาด ผมว่าผมเห็นเหมือนเขายิ้มเศร้าๆ ก่อนตอบว่า”ไม่ได้ขายมาหลายวันแล้วครับ”

นั่นสิผมออกไปก็ไม่เห็นเขามาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ตามประสาคนไม่คิดมาก ไม่มีร้านเขาผมก็ซื้อร้านอื่น แต่ตั้งแต่นี้ไปตั้งใจว่าจะซื้อร้านเขาคนเดียวแล้วล่ะ “ไม่สบายหรือเปล่าหน้าเซียวๆ หาหมอหรือยัง”

เด็กหนุ่มยิ้มเศร้าๆไม่ยอมตอบอีกแล้ว

“ว่าแต่ไม่เคยถาม บ้านน้องอยู่แถวไหน”

“ชุมชนร่วมใจครับ” เขาตอบเบาๆ

“ซอยอะไร”

“ซอยสี่”

“โอเค ขอบคุณมากนะ ไว้เจอกันที่ร้าน ว่าแต่อย่าลืมไปหาหมอ หน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย ยังไงขอให้หายไวๆ นะหนุ่ม ผมขอตัวรีบไปทำงานก่อนนะ”

เช้านั้นผมสายแล้ว เลยรีบมากจริงๆ แต่ระหว่างขี่ไปทำงานก็นึกถึงเด็กหนุ่มและน้ำใจของเขาก็นึกขึ้นได้ว่า น่าจะตอบแทนอะไร สักหน่อย ให้เป็นเงินคงน่าเกียจ หาซื้ออะไรไปฝากจะดีกว่า

ทำงานทั้งวันเมื่อถึงตอนกลับบ้าน ผ่านแผงขายเสื้อยืด เห็นข้อความที่สกรีนบนเสื้อเท่ดี จึงนึกว่าน่าจะซื้อไปฝาก เพราะจะให้ขนมนมเนยพวกเบเกอรี่ ปกติเด็กหนุ่มก็มักไม่ชอบ เสื้อยืดแบบนี้ดีกว่า ผมจึงหยุดรถลงไปเลือกมาได้ตัวหนึ่ง

ถึงบ้านมืดค่ำ ไม่เห็นเด็กหนุ่มกับแผงน้ำเต้าหู้ของเขา จึงคิดว่าไว้พรุ่งนี้เช้าก็ได้

วันรุ่งขึ้นก็ไม่เห็นอีก อีกสามวันถัดมาก็ยัง ไม่เห็น ผมจึงตัดสินใจขี่ไปที่ชุมชนร่วมใจ ซอยสี่ ถามหาเด็กหนุ่มคนที่ขายน้ำเต้าหู้

ข้อความที่ผมได้ยินทำเอาผมขาแข็ง

“เขาเสียไปหลายอาทิตย์แล้ว เห็นอย่างนั้น เขาไม่ค่อยแข็งแรงนะ มีโรคประจำตัวเยอะ”

โห เขามีน้ำใจกับผมแม้แต่ตอนที่ตายไปแล้ว ขอให้ไปสู่ที่ชอบๆ เถอะ สาธุ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน