“นทธี ศศิวิมล”

ราวๆ ปีพ.ศ.2550 ผมยึดทำเลใต้สะพานลอยแถวๆ สายไหมเปิดร้านซ่อมรองเท้า ที่จริงก็คือแผงเล็กๆ พอวางอุปกรณ์ วางตู้ใส่รองเท้าลูกค้า แต่ผมเรียกว่าร้านเพราะคืออาชีพหลักที่เลี้ยงครอบครัวตลอดช่วงเวลานั้น ด้วยรายได้ที่ไม่เคยน้อยกว่า 500 บาทต่อวัน ผมจึงไม่คิดย้ายไปเปิดที่อื่น หรือแม้แต่เลิกไปทำอาชีพอื่น

จนกระทั่งหลังคืนนั้น ซึ่งผมเลิกดึก ประกอบกับว่าช่วงเย็นมีลูกค้ามารอเปลี่ยนส้นรองเท้าติดๆ กันหลายคน พอเสร็จก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งหอบรองเท้าสองคู่มาให้เปลี่ยนพื้นรองเท้าแบบรีบด่วน เขาบอกจะให้ผมห้าร้อยบาท มีหรือผมจะปฏิเสธ พอทำเสร็จฝนก็ดันเทลงมาอย่างหนัก ฝนหยุดเตรียมกลับบ้านก็ได้ยินเสียงโครมดังลั่น เมื่อเสียงโครมหายไปก็ตามมาด้วยเสียงโกลาหลและเสียงร้องของคน

เป็นเสียงโอดโอย เมื่อผมลุกมองไปก็เห็นสภาพที่น่ากลัว รถยนต์ชนกับสิบล้อในสภาพที่รถยนต์ยุบเหมือนปลากระป๋องถูกทุบอย่างแรง จนเหลือเป็นก้อนเดียวอยู่ใต้สะพานลอยห่างจากร้านผมไม่ถึงสิบเมตร

คนลงมาที่ถนนกันเยอะ หลายคนยกโทรศัพท์มือถือโทร.เรียกรถพยาบาล ผมเองตรงไปที่รถยนต์คันนั้น ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวคนหนึ่ง ผมไม่กล้าลงมือทำอะไรเพราะไม่มีความรู้ จึงบอกไปว่า “รถพยาบาลกำลังจะมาครับ อดทนหน่อยนะครับ ไม่เป็นไรแล้ว คนช่วยเหลือกำลังจะมา” ผมพูดวนอย่างนี้หลายครั้งกับคนในรถอย่างน้อยก็สามคนที่ได้รับบาดเจ็บที่ติดอยู่ ทราบภายหลังว่ามีคนที่กระเด็นออกมาอีกสองคน และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทั้งสองคน

ระหว่างนั้นผมเจอผู้ชายคนหนึ่งเดินมาถามผมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ตอบเขาไปว่ารถยนต์กับรถสิบล้อชนกัน แล้วเขาก็ตามเข้าไปมุงกับคนอื่นจนเจ้าหน้าที่ต้องกันให้ห่างออกจากรถ เพราะจะมีการใช้เครื่องมือตัดถ่างรถเพื่อช่วยเหลือ

เขาเดินออกมายืนข้างๆ ผมแล้วก็เดินวนกลับเข้าไปใหม่ เขามีรูปร่างสูง ผอม ใส่เสื้อเชิ้ตขาวแบบคนทำงานบริษัท สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมายืนใกล้เขา เธอใส่เสื้อทีเชิ้ตสีม่วง ฝ่ายชายทัก “อ้าว ทำไมมายืนนี่”

ฝ่ายหญิงตกใจมากกว่าพลางร้องดังลั่น “เกิดอะไรขึ้นนี่”

ยังไม่ทันที่ผมจะตอบเธอก็โผเข้ากอดชายหนุ่มแล้วร้องไห้โฮเหมือนเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ผมจับต้นชนปลายยังไม่ถูก จึงยืนเฉยๆ อย่างคนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน

กว่าบริเวณนั้นจะเคลียร์หมดจบเหตุการณ์ก็ปาเข้าไปร่วมสองชั่วโมง ผมกลับบ้านนอนอย่างไม่หลับ เฝ้าคิดถึงแต่ภาพเหตุการณ์

ผมมาเปิดร้านสายไปหน่อย เพราะกว่าจะหลับก็ปาเข้าไปตีสาม มีลูกค้ามารออยู่แล้ว ผมจึงง่วนอยู่กับงานทั้งวันกว่าจะโงหัวขึ้นมาหาข้าวมื้อเย็นกินก็ค่ำมืดแล้ว ผมเก็บข้าวของปิดร้าน เตรียมจะเดินไปร้านบะหมี่เกี๊ยวที่เพิ่งเปิดใหม่ ก็มีชายคนหนึ่งเดินมาถาม “เกิดอะไรขึ้นครับ”

“อะไรนะ” ผมตอบไปในตอนแรกเพราะไม่เข้าใจที่จู่ๆ ก็มีคนมาถามอย่างนี้ เมื่อผมนึกว่าเขาคงถามเรื่องเมื่อคืน เพราะตลอดวันมีแต่คนมาคุยเรื่องรถชนเมื่อคืน ผมจึงตอบเขาไปว่าเกิดอะไรขึ้น

สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามเข้ามา ถามขึ้นลอยๆ “เกิดอะไรขึ้นนี่” แล้วก็ร้องไห้โฮยกใหญ่

ภาพนี้คุ้นตาผมมาก เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนก็เจออย่างนี้ ผมจึงมองสองคนนี้อย่างสังเกต ใช่แล้ว! ชายหญิงคู่นี้เองที่ผมเจอเมื่อคืน อ้าว! แล้ว! ทำไมพูดเหมือนเดิมเป๊ะๆ!!

ผมถอยหลังกรูดอย่างตกใจจนไปชนคนเดินถนนเข้า เป็นชายหนุ่มที่เพิ่งลุกจากร้านบะหมี่เกี๊ยว ผมกล่าวขอโทษ เขาจำได้ว่าผมเป็นใครจึงร้องทัก “พี่ช่างเอง ทำอะไรนี่ ผมตกใจหมดเลย”

“ผม ผม” ผมพูดไม่ออก ยังตกใจอยู่

“ตะกี๊ก็เห็นยืนพูด พูดกับใครหรือ ผมไม่เห็นใครตรงนี้สักคน” เขาถาม ทำเอาผมที่ตกใจอยู่แล้วยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่

“ไม่เห็นจริงๆ หรือ” ผมถามย้ำ เขาส่ายหัวแล้วก็ขอตัวไป

หลังจากนั้นเป็นประจำที่คนเดินข้ามสะพานลอยตอนกลางคืน หรือผ่านทางมาตอนดึกๆ มักเจอชายหญิงเดินมาถามเช่นนี้ บางคนก็เจอภาพเหตุการณ์รถชนกันแล้วเมื่อมองอีกครั้งภาพนั้นก็หายไป บางคนเจอผู้ชายผู้หญิงเดินไปมาบนถนนและบนสะพานลอย คนเดิมๆ หน้าตาเดิมๆ เดินวนไปวนมา

จนสุดท้ายตกดึกละแวกสะพานลอยนั้นแทบไม่มีคนมาเลย ร้านบะหมี่เกี๊ยวก็ย้ายไปที่อื่น เช่นเดียวกันกับผม แรกๆ ก็ปิดเร็วขึ้น พระอาทิตย์ตกดินผมก็เก็บร้าน จนภายหลังได้ทำเลใหม่ที่ขายได้ดึกกว่าเดิมผมจึงย้ายมาจากสะพานลอยแห่งนั้น

เรื่องตอกย้ำความจริงที่ผมกับคนอื่นๆ พบเจอก็เมื่อเรื่องราวนี้ดังไปไกล มีรายการทีวีมาถ่ายทำ มีการนำภาพจากกู้ภัยให้ผมกับคนในละแวกนั้นดู เป็นภาพของคนที่เสียชีวิตในคืนนั้นทั้งหมด ปรากฏว่าชายหญิงที่พบเจอมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็เป็นสองในจำนวนคนที่ตายวันนั้นหกคน

เมียผมพูดกับผมภายหลังว่า “สองคนนี้คงยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายไปแล้ว เลยมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น วิญญาณก็คงวนเวียนอยู่แถวนั้น ถามซ้ำซากอยู่เรื่อยไม่รู้จบ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน