ย้อนนาทีสาวถูกกรด! สธ.สอบรพ.ไม่รักษา ระทึกผล-ผิดขั้นไหน ตร.บุกจับผัวมือสาด
แฟ้มคดี
ย้อนนาทีสาวถูกกรด! – เป็นเรื่องราวที่สุดแสนสะเทือนใจ สำหรับกรณีสาววัย 38 ที่ถูกสามีสาดน้ำกรดใส่หน้าขณะกำลังนอนหลับก่อนที่ลูกสาววัย 12 จะหอบหิ้วกันมาส่งถึงโรงพยาบาล หวังจะได้รับการรักษาให้ทันท่วงที
ที่บาดเจ็บหนักจะได้เป็นเบา ไม่ให้ถึงแก่ชีวิต
แต่ที่ไหนได้กลับต้องพาร่างที่บอบช้ำย้ายไปโรงพยาบาลอีกแห่ง
ตามสิทธิประกันสังคม!??
สุดท้ายแทนที่จะปลอดภัย กลับต้องทิ้งชีวิตไปอย่างไม่ควร
กลายเป็นคำถามว่าเป็นปัญหาจากการปฏิเสธการรักษาคนไข้หรือไม่
นำไปสู่การร้องเรียนกระทรวงสาธารณสุข ให้เข้ามาตรวจสอบ ทำให้ชัดเจน วางมาตรฐานใหม่ ไม่ให้เกิดเหตุสลดซ้ำซากอีก
-
โวยร.พ.ไม่รักษาสาวถูกสาดกรด
เหตุสลดครั้งนี้ปรากฏต่อความรับรู้ต่อสาธารณชน เมื่อวันที่ 10 พ.ย. เมื่อ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย. เกิดกรณี น.ส.ช่อลัดดา ทาระวัน อายุ 38 ปี ถูกสามี คือ นายคำตัน สีหนาท อายุ 50 ปี ทำร้ายด้วยการสาดน้ำกรดใส่ใบหน้า ขณะนอนหลับ
จากนั้นญาติและลูกสาววัย 12 ปี ก็ช่วยกันพาไปส่งโรงพยาบาล โดยเรียกแท็กซี่ จุดมุ่งหมายคือไปโรงพยาบาลบางมด ที่เจ้าตัวมีสิทธิประกันสังคมอยู่
แต่ระหว่างอยู่บนรถ โชเฟอร์แท็กซี่เห็นว่าน.ส.ช่อลัดดา อาการหนัก จึงพาส่งโรงพยาบาลพระราม 2 ที่อยู่ใกล้กว่า แต่เมื่อไปถึงกลับได้รับคำชี้แจงว่าให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลบางมด ที่มีสิทธิประกันสังคม
เหยื่อน้ำกรดรายนี้พร้อมลูกสาวจึงต้องเรียกแท็กซี่เดินทางไปต่อ
สุดท้ายเมื่อถึงโรงพยาบาลบางมด ก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา
โดยนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ สรุปสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลว เป็นเหตุให้นายอัจฉริยะ รับเป็นทนายให้ความช่วยเหลือในคดีนี้
ต่อมาวันที่ 11 พ.ย. นายอัจฉริยะ พร้อมญาติน.ส.ช่อลัดดา ก็แห่โลงศพมาประท้วงถึงโรงพยาบาลพระราม 2 จนกระทั่งเกิดวิวาทะกับ นพ.พีระ คณานวัตน์ ศัลยแพทย์ทั่วไป ซึ่งเป็นแพทย์เวรประจำวันถึงขึ้นขู่ร้องเรียนถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต
จากนั้นไปร้องเรียนกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้ตรวจสอบปมการไม่รับรักษาคนไข้ รวมทั้งในวันเวลาที่เกิดเหตุดังกล่าวมีแพทย์เวรปฏิบัติงานตามกฎหมายหรือไม่ และใครเป็นผู้วินิจฉัยว่าน.ส.ช่อลัดดา อยู่ในสภาพอาการไม่ร้ายแรง สามารถเดินทางไปยังโรงพยาบาลอื่นได้
นอกจากนี้ยังมีประเด็นว่าหากต้องส่งต่อ ทำไมถึงไม่ให้รถพยาบาลที่มีเครื่องมือดูแลไปส่งตัว แต่กลับให้เรียกแท็กซี่ไปเอง
ไม่เพียงแค่นั้นยังยื่นหนังสือถึงเขต บางขุนเทียน ให้ตรวจสอบใบอนุญาตดัดแปลงอาคาร รวมทั้งตรวจสอบว่าการแยกผู้ป่วยประกันสังคมไปรับการรักษากับโรงพยาบาลใน เครือ ถือเป็นความผิดปกติหรือไม่
เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบต่อไป
-
หมอระบุคนไข้ย้ายเอง
ขณะที่ พญ.วัลลภา ไชยมโรวงศ์ ผอ.โรงพยาบาลพระราม 2 และนพ.พีระ ศัลยแพทย์ทั่วไปและที่ปรึกษาประจำโรงพยาบาล ตั้งโต๊ะแถลงเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พ.ย. เวลาประมาณ 05.00 น.
น.ส.ช่อลัดดาเข้ามาที่โรงพยาบาลในลักษณะเดินกึ่งวิ่งจากด้านล่างของโรงพยาบาล โดยเดินผ่านห้องฉุกเฉิน เนื่องจากไม่เคยมา จนพบเวรเปลชั้นใต้ดิน จึงพาคนไข้มาที่ห้องฉุกเฉิน
เมื่อมาถึงก็ร้องบอกพยาบาลว่าปวดแสบปวดร้อน พยาบาลจึงปฐมพยาบาล วัดความดันปกติ ชีพจรปกติ การหายใจปกติ ออกซิเจนในเลือดปกติ จากนั้นโทรศัพท์รายงานนพ.พีระ แจ้งอาการและสัญญาณชีพให้ทราบ
ซึ่งนพ.พีระสั่งให้ทำแผลคนไข้ และรับไว้เป็นผู้ป่วยใน เพื่อให้ยาระงับปวดและสังเกตอาการ แต่คนไข้ปฏิเสธการรักษาเป็นผู้ป่วยใน และต้องการไปรักษาตามสิทธิประกันสังคมที่ร.พ.บางมด และยังขอเดินทางไปเอง
จึงโทรศัพท์แจ้งร.พ.บางมด แต่ติดต่อผู้ตรวจการณ์ของร.พ.บางมดไม่ได้ จึงขอสายคุยกับพยาบาลห้องฉุกเฉิน แจ้งว่ามีคนไข้จะไปจากร.พ. ยืนยันทำตามมาตรฐานร.พ.ในการดูแลคนไข้ และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของคนไข้ในการสูญเสียครั้งนี้
ขณะที่นพ.พีระระบุว่า ภาพจากวงจรปิดที่ส่งให้สบส. เห็นคนไข้และลูกสาววิ่งตามมา ร้องขอความช่วยเหลือว่าปวดแสบปวดร้อน เหมือนถูกน้ำร้อน เจ้าหน้าที่ทำบัตรก็บอกให้ไปห้องฉุกเฉินได้เลย ส่วนเรื่องปฏิเสธการรักษา เป็นเรื่องที่พยาบาลพูดคุยกับคนไข้
“ตอนไปร.พ.บางมด เจ้าหน้าที่ก็เรียกรถแท็กซี่ให้ และยังให้เงินค่ารถไป 40 บาท ส่วนค่ารักษาก็ไม่ได้เก็บเงินสักบาท” นพ.พีระกล่าว
เป็นคำชี้แจงทางร.พ.พระราม 2
-
สบส.สั่งฟันร.พ.พระราม 2
ด้าน นพ.ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ระบุว่า จากการตรวจสอบวงจรปิด พบว่ามีการทำแผลจริง เพราะตอนผู้ป่วยออกจากห้องฉุกเฉินมีการพันผ้าพัน แผลออกมาด้วย ส่วนเรื่องสัญญาณชีพ ความดันต่างๆ นั้น ไม่ปรากฏในกล้องวงจรปิด ก็คงต้องดูผลการบันทึกของโรงพยาบาลร่วมด้วย
นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลเรื่องของการส่ง ต่อว่าตอนขามามีสภาพเป็นอย่างไร และก่อนออกไปมีสภาพอย่างไร เช่น ผู้ป่วยเดินมาตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่ แล้วตอนกลับเป็นอย่างไร เดินกลับเองขึ้นแท็กซี่เองหรือไม่
ทั้งนี้ได้ข้อมูลจากโรงพยาบาลแห่งที่ 2 แล้ว พบว่ามีข้อมูลที่แตกต่าง ขัดแย้งกัน ซึ่งต้องส่งข้อมูลให้กรรมการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามโรงพยาบาลพระราม 2 มีความผิดแน่ๆ แล้ว คือ 1.กรณีที่โรงพยาบาลนำเอาที่จอดรถมาปรับปรุงดัดแปลงเป็นอาคารผู้ป่วยนอกโดย ไม่ขออนุญาต จึงมีความผิดตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541
2.สั่งลงโทษปรับในฐานทำความผิด พ.ร.บ.สถานพยาบาล แต่เป็นฐานความผิดที่ไม่ร้ายแรง
3.สั่งให้ปรับปรุงโรงพยาบาล ในส่วนที่ไม่ตรงมาตรฐาน พ.ร.บ.สถานพยาบาล โดยได้ให้ระยะเวลาในการปรับปรุง 15 วัน หากยังไม่ดำเนินการ จะเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งหากโดนเพิกถอนใบอนุญาตจะส่งผลให้โรงพยาบาลถูกปิด แต่ก็ยังไม่รุนแรงเท่ากับการสั่งปิดโรงพยาบาลเลย
4.ประเด็นที่ถือเป็นความผิดร้ายแรงในพ.ร.บ.สถานพยาบาล ซึ่งจะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่คณะกรรมการเพื่อพิจารณาความผิด ในวันที่ 19 พ.ย.
ลุ้นกันว่าผลการพิจารณาและบทลงโทษจะเป็นอย่างไร
-
จับผัวโหด-อ้างทำเพราะหึง
ขณะที่คดีความ เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.ท่าข้าม ได้ติดตามจับกุมตัว นายคำตัน สีหนาท อายุ 50 ปี สามีของน.ส.ช่อลัดดาที่เป็นผู้ก่อเหตุ โดยสามารถจับกุมได้ที่ อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ โดยนายคำตันหลบหนีไปอยู่กับเพื่อนหลังก่อเหตุ
โดยผลการสอบสวนทราบว่าเมื่อเวลา 05.00 น. วันที่ 9 พ.ย. นายคำตันซึ่งมีอาชีพขับรถแท็กซี่ คบหาและอยู่กินกับน.ส.ช่อลัดดา นานกว่า 7 ปี ซึ่งน.ส.ช่อลัดดามีอาชีพเป็นพนักงานที่ห้างสรรพสินค้าย่านบางแค
โดยภายหลังจากทำงานเสร็จก็กลับมาอยู่ที่ ห้องพักเลขที่ 6 ชั้น 2 เลขที่ 122/6 ซอยบางขุนเทียนชายทะเล 6 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ นายคำตันนำน้ำกรดที่ซุกซ่อนไว้หลังห้องเทใส่แก้วกาแฟแล้วนำมาเทสาดเข้าที่ใบหน้าของน.ส.ช่อลัดดา แล้วนำแก้วไปทิ้งไว้ที่ถังขยะในซอยเดียวกับห้องพัก ก่อนจะหลบหนีไปกบดานอยู่ที่บ้านเพื่อนที่ จ.นครสวรรค์
จากการสอบปากคำนายคำตันสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือ โดยเกิดจากความเจ็บแค้นเรื่องชู้สาว มีคนมาติดพัน จนทำให้ช่วงหลังทะเลาะกันบ่อยถึงขั้นรุนแรง จึงไปหาซื้อน้ำกรดที่ใช้สำหรับเชื่อมบัดกรีจากเพื่อน เมื่อน.ส.ช่อลัดดากลับมาก็ใช้น้ำกรดสาดเข้าที่ใบหน้า จนบาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว โดยเตรียมการไว้ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์แล้ว
จากนั้นเจ้าหน้าที่คุมตัวมาชี้ 3 จุด ประกอบด้วย 1.หอพักไม่มีชื่อ ภายในซอยบางขุนเทียนชายทะเล 6 เป็นจุดที่ใช้น้ำกรดสาดเข้าใบหน้าน.ส.ช่อลัดดาขณะนอนอยู่ 2.จุดที่ผู้ต้องหาเทน้ำกรดใส่แก้วกาแฟ หน้าห้องน้ำในห้องพักเพื่อเตรียมก่อเหตุ และ 3.จุดที่ผู้ต้องหานำแก้วกาแฟที่ใส่น้ำกรดมาทิ้งข้างบันไดทางขึ้นลงตึก
เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป