ผ่าเส้นทางแก๊งอุ้มบุญ

จากไทยปลายทางจีน

ตร.สืบจับทั้งขบวนการ

คอลัมน์ สดจากสนามข่าว

ผ่าเส้นทางแก๊งอุ้มบุญ จากไทยปลายทางจีน ตร.สืบจับทั้งขบวนการ พลันที่พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ หรือ กฎหมายอุ้มบุญ มีผลบังคับใช้ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2558 ด้วยข้อห้ามสําคัญของกฎหมายอุ้มบุญ ที่ห้ามเด็ดขาดเรื่องการรับจ้างอุ้มบุญ

แต่ด้วยความต้องการของตลาด โดยเฉพาะเศรษฐีชาวจีนที่ต้องการเลือกเพศของลูกตนเอง แต่ไม่สามารถทำได้ในประเทศตนเองเพราะผิดกฎหมาย ธุรกิจอุ้มบุญจึงหาได้หมดไป แต่กลับสามารถขยายเครือข่ายทำธุรกิจต่อได้ในโลกใต้ดิน จนกลายเป็นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ

เช้ามืดวันที่ 13 ก.พ. พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบช.ก. นำชุดปฏิบัติการพิเศษ บก.ตร.มห.904 เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด บก.ปคม. เจ้าหน้าที่ ปปง. กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ของกระทรวงสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมจำนวนกว่า 200 นาย เปิดปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมขบวนการ “อุ้มบุญ” รับจ้างตั้งครรภ์ ที่มีนายทุนต่างชาติชาวจีนเป็นผู้ว่าจ้างหญิงไทยอุ้มท้องตั้งครรภ์

หัวโจกแก๊งอุ้มบุญ

กำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น 10 จุดทั่วประเทศ โดยที่บ้านหรูหลังหนึ่ง ตั้งอยู่ถนนนาคนิวาส แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว ภายในบ้านพบหญิงสาวรวมทั้งมีทารกแรกคลอดวัยแบเบาะอยู่ด้วย เบื้องต้น เจ้าหน้าที่พบทารกเพศชาย วัยประมาณ 30 วัน กับหญิงสาว 7 คน ซึ่งมารับจ้างตั้งครรภ์ หรือ “อุ้มบุญ” โดยทั้ง 7 คน ได้รับการฝังไข่แล้ว มีการดูแลอย่างดีเพื่อให้ตั้งครรภ์และคลอดทารกที่มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์

ส่วนอีกจุดหนึ่งตำรวจเข้าตรวจค้นย่านทาวน์อินทาวน์ พบผู้ต้องหาหญิงตามหมายจับ สัญชาติจีน ที่เปิดเป็นสถานที่รับปรึกษาผู้มีบุตรยาก และก็พบชายหญิงชาวจีน 8 คู่ รวม 16 คน พักอยู่ในห้องพักที่เปิดไว้ให้พักสำหรับผู้ที่มาฝังตัวอ่อน เพราะต้องพักอย่างน้อย 10 วัน และยังมีหญิงสัญชาติเมียนมาอีก 7 คน เป็นแม่บ้านดูแลสถานที่ จึงควบคุมตัวมาสอบสวน

คุมตัวไปสอบ

นอกจากนี้ยังพบยาแผนโบราณ กับยาแผนปัจจุบันที่ไม่ถูกขึ้นทะเบียนตำรับยาในไทย ซึ่งลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้ในการเร่งฮอร์โมน และเครื่องมือผสมเทียมอยู่ภายในบ้านอีกด้วย

11.00 น. วันเดียวกัน มีการแถลงที่มาที่ไปของปฏิบัติการครั้งนี้ว่า เนื่องจากกลุ่มนายทุนสัญชาติจีนเป็นหัวหน้าขบวนการอุ้มบุญข้ามชาติ ได้ว่าจ้างกลุ่มนายหน้าซึ่งเป็นคนไทยติดต่อ แนะนำชักชวน ให้หญิงไทยมารับจ้างตั้งครรภ์แทน โดยจะได้รับค่าจ้างประมาณ 300,000–450,000 บาท ต่อการตั้งครรภ์แทน 1 ครั้ง

พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบช.ก. แถลง

หากหญิงไทยตกลงที่จะรับจ้างตั้งครรภ์แทน กลุ่มนายหน้าจะแบ่งหน้าที่กันทำงาน โดยพาหญิงไทยที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนเดินทางไปปลูกฝังตัวอ่อนที่คลินิกแห่งหนึ่งในประเทศลาวหรือกัมพูชา หลังจากนั้นจะพามาฝากครรภ์ พออายุครรภ์ได้ราว 7 เดือน แม่อุ้มบุญจะถูกพาตัวไปประเทศจีนเพื่อรอคลอดลูก โดยกลุ่มนายหน้าเหล่านี้จะเป็นผู้ดำเนินการเรื่องเอกสารการคลอด ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมด

หลังจากนั้นก็จะพาเด็กที่เกิดจากการรับจ้างอุ้มบุญไปส่งให้กับบุคคลที่อ้างว่าเป็นพ่อที่ประเทศจีน และเมื่อตรวจสอบข้อมูลการเดินทางของเด็กที่นำไปส่งที่ประเทศจีน ก็ไม่พบข้อมูลการเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยอีกแต่อย่างใด เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดแล้วหญิงไทยที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนจึงจะได้รับค่าตอบแทน

แต่เพราะการระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้มีแม่อุ้มบุญตกค้างอยู่ในไทย ไม่สามารถเดินทางไปจีนได้ จนบางรายต้องคลอดลูกที่เมืองไทย

การสืบสวนของตำรวจยังพบอีกว่ากลุ่มดังกล่าวว่าจ้างหญิงไทยให้อุ้มบุญตั้งแต่ปี 2555 โดยพบข้อมูลหญิงที่รับจ้างตั้งครรภ์แทนจำนวนมาก กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เบื้องต้นคาดว่าไม่ต่ำกว่า 100 ราย

วันนี้ก็ได้นำหญิงที่รับจ้างอุ้มบุญในเขต จ.ปทุมธานี มาสอบสวนขยายผล 8 ราย และพบว่ามีเด็กมีการแจ้งเกิดและแจ้งรายชื่อเป็น ผู้อาศัยอยู่ในทะเบียนบ้านของผู้ต้องหาด้วย 15 ราย สำหรับเด็กที่คลอดมาแล้วถูกอุ้มออกไป แล้ว เบื้องต้นคาดว่าไม่ต่ำกว่า 50 ราย โดยศาลอาญาได้ออกหมายจับผู้ต้องหาในขบวนการไว้แล้วจำนวน 10 คน

เบื้องต้นตำรวจจับกุมนายเจ้า หราน อายุ 37 ปี สัญชาติจีน นางซูยิงถิง ภรรยาอายุ 48 ปี พร้อมพรรคพวกรวม 9 คน เป็นผู้ต้องหาชุดแรก

ขณะที่พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒนนครบัญชา ผบก.ปคม. เปิดเผยว่า ได้มีการดำเนินคดีกับแม่อุ้มบุญชาวไทยไปแล้ว 2-3 ราย เนื่องจากได้ผันตัวจากแม่อุ้มบุญมาเป็นนายหน้าหาหญิงสาวมาตั้งครรภ์แทน ขั้นตอนหลังจากนี้พนักงานสอบสวนได้ประสานนำยาและเวชภัณฑ์ของกลางที่ตรวจพบในบ้านผู้ต้องหา ไปให้เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาว่าเข้าข่ายเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ยา หรือไม่

จากแนวการสอบปากคำผู้ต้องหาชาวจีนยังให้การปฏิเสธ อ้างว่าทำเด็กหลอดแก้วเท่านั้น ส่วนกรณีที่มีข้อสงสัยว่า เด็กอุ้มบุญที่ถูกส่งไปยังประเทศจีน จะถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อทางการค้าหรือไม่นั้น ตำรวจอยู่ระหว่างประสานทางการจีน ทั้งนี้ไม่มีการยืนยันว่าเด็กทั้งหมดถูกนำอวัยวะไปขายหรือไม่

ขณะที่นางนลินา ตันตินิรามัย ผอ.สำนักสถานพยาบาลและ การประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า หากพบว่าสถานพยาบาลใดเกี่ยวข้องกับขบวนการอุ้มบุญนี้ ไม่ว่ารูปแบบใด ก็จะดำเนินการทางกฎหมาย ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีแพทย์หลายคนที่ร่วมกระทำด้วย และหากลงมือโดยไม่ได้รับอนุญาตก็มีความผิดตามกฎหมาย

ล่าสุดทางการจีนประสานขอส่งเจ้าหน้าที่มาร่วมสืบสวนกับทางการไทยด้วย โดยประสานข้อมูลมาว่าขบวนการอุ้มบุญข้ามชาตินี้น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 3 ขบวนการ

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการทลายขบวนการอุ้มบุญข้ามชาติเท่านั้น ยังต้องมีการสืบสวนขยายผลต่อไปอีก

พุฒิสรรค แก้วบัวดี/พนม คงเจริญ/ณเดช โรจนประดิษฐ์

เรื่อง/ภาพ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน