ย้อนคดีสลดเมืองสองแคว

คน 5 หมา 6-รมควันฆ่าตัว!

11 ชีวิตสังเวยพิษเศรษฐกิจ

คอลัมน์ แฟ้มคดี

ย้อนคดีสลดเมืองสองแคว – แม้นเหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่ 5 ศพครอบครัวแป้นวงศ์ กับสุนัขอีก 6 ตัว จะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ยังคงมีข้อถกเถียงกันถึงสาเหตุว่าเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจตามที่เป็นข่าว

หรือจะมีสาเหตุอื่นใดอีก ขณะที่การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่พบหลักฐานว่าจะเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง แต่กลับดูเหมือนว่านอกจากลูกชายวัย 13 ปีแล้ว บุคคลในครอบครัวได้ตัดสินใจร่วมกันมาแล้ว

เตาถ่านของกลาง

ย้อนไปเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 21 ก.พ. ร.ต.อ.นพดล ไม้งาม ร้อยเวร สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งเกิดเหตุเจ้าของเต็นท์รถกัณตภณออโต้ รมควันตัวเองพร้อมครอบครัวเสียชีวิตภายในบ้านพักเลขที่ 114 หมู่ 1 ต.จอมทอง อ.เมือง พร้อมด้วยสุนัขคู่ใจ 6 ตัว โดย

ผู้เสียชีวิตทั้ง 5 รายคือ นายกัณตภณ แป้นวงศ์ หรือเฮียตี๋ วัย 41 ปี, นางยอดขวัญ แป้นวงศ์ ภรรยา อายุ 41 ปี และ ด.ช. วัย 13 ปี ลูกชาย, นางสุนิสา แป้นวงศ์ มารดา อายุ 60 ปี และ น.ส.สุธิพร แป้นวงศ์ พี่สาว ส่วนสุนัข 6 ตัว เป็นบีเกิ้ล 2 ตัว ชิสุ 3 ตัว และปอมปอม 1 ตัว

ข้อความในมือถือ

นายภิชาติ อมรรุ่งรัศมี ญาติผู้เสียชีวิตเล่าให้ฟังว่า ติดต่อกับครอบครัว ผู้เสียชีวิตครั้งสุดท้ายในวันพุธ 19 ก.พ. ช่วงเวลา 23.00 น. หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้เลยจนกระทั่งวันนี้มาที่บ้านที่เกิดเหตุ โดยมีพี่สาวแฟนเฮียตี๋ ไปรับมาก็พบว่าประตูบ้านปิด จึงให้หลานปีนหน้าต่างเข้าไปปลดล็อกประตูหน้าก็พบว่าทุกห้องเปิดอยู่ ยกเว้นประตูห้องของแม่เฮียตี๋ที่ล็อกอยู่และมีกลิ่นเหม็นโชยออกมา จึงตัดสินใจถีบประตูเข้าไป ก็พบผู้เสียชีวิตทั้ง 5 รายอยู่ในนั้น โดยมีเลือดออกจากปาก คาดว่ากินยาฆ่าตัวตาย และยังมีเตาอั้งโล่ตั้งอยู่ด้วย เพื่อเป็นการรมควันซ้ำอีก

นอกจากนี้จากการตรวจสอบมือถือของนางยอดขวัญภรรยา พบข้อความพิมพ์เอาไว้ 2 ข้อความ ลงวันที่ 12 ก.พ. 2563 มีข้อความว่า…

“เกือบแล้วสินะชีวิต เกือบได้ไปอยู่พร้อมพร้อมกัน 11 ชีวิตในที่สงบ ไม่รู้จะต้องสู้ไปอีกนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าสู้ได้ถึง วันไหน หมดหนทางแล้วจริงๆ สินะ อุปกรณ์พร้อมทุกๆ คนในครอบครัว ยกเว้นวินเนอร์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก่อนจะเป็นไรไปฉุกคิดถึงพี่สาว เขาจะมาหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างเพราะเราไม่ได้ ต้องหาเงินสักก้อนให้เขาได้เดินต่อได้ พรุ่งนี้เริ่มดิ้นรนใหม่แต่ไม่รู้ว่าจะดิ้นได้ถึงวันไหนนะ”

และอีก 1 ข้อความลงวันที่ 16 ก.พ. 2563 ใจความว่า “เขาคงไม่อยากให้เรา 11 ชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจริงๆ หมดทุกหนทางแล้วสินะเมื่อมันอยู่ต่อไม่ได้เราก็ขอจากไปพร้อมกันเลยละกัน ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออยู่รอดแต่ทุกอย่างมันตันไปหมดแล้วริบหรี่ทุกวันแล้วนะชีวิต”

ด้านเพื่อนสนิทให้ข้อมูลว่า คนภายนอกจะรู้จักเฮียตี๋ในภาพของนักธุรกิจหนุ่ม อยู่บ้านหลังโต เนื้อที่กว้างใหญ่ถึง 5 ไร่ ธุรกิจหลากหลาย ครอบครัวสุขสันต์ ไปเที่ยวต่างประเทศอยู่เสมอ แต่ความจริงแล้วกิจการที่เฮียตี๋ทำอยู่ ประสบปัญหาจากพิษเศรษฐกิจจนถึงกับต้องกู้เงินนอกระบบจากคนรู้จักเฉพาะเพื่อนรายเดียวกว่า 10 ล้านบาท และยังกู้นอกระบบจากคนรู้จักอีกรายละนับล้านบาท ทำให้ต้องเสีย ดอกเบี้ยต่อเดือนถึงหลักแสนบาท

เต็นท์รถที่เกิดเหตุ

ขณะที่ธุรกิจเต็นท์รถยนต์มือสองของเฮียตี๋ถือว่าเข้าขั้นขายดีมาก เพราะแต่ก่อนเดือนหนึ่งจะขายได้ถึง 10-20 คันเลยทีเดียว แต่มาระยะหลังนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดีเริ่มขายยากขึ้น แต่เฮียตี๋ก็พยายามที่จะขายรถในเต็นท์ของตนให้กับเต็นท์รถของเพื่อนฝูง ซึ่งขายในราคาถูกเพราะต้องการที่จะดันรถยนต์ออกจากเต็นท์ให้ได้ไว เพื่อที่จะเอาเงินไปหมุนจ่ายเงินที่กู้ยืมมา

ส่วนที่ฆ่าสุนัขทั้ง 6 ตัวด้วย คาดว่าเพราะเฮียตี๋เป็นคนรักสุนัขมาก เรียกว่ารักเหมือนลูก จึงเอาชีวิตไปทั้ง 6 ตัวด้วยพร้อมกัน

ต่อมา พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ทำให้เชื่อได้ว่าสาเหตุมาจากการกินยานอนหลับและรมควัน ส่วนผลชันสูตรของแพทย์ระบุว่า ทั้งหมดสูดดมสารพิษเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มาก

ขณะที่คนงานในเต็นท์รถของเฮียตี๋ เปิดเผยเรื่องราวอีกมุมว่า เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 19 ก.พ. แม่ของเฮียตี๋สั่งให้พนักงานถอดปลั๊กกล้องวงจรปิดออกทุกตัว พร้อมกับปิดสวิตช์ไฟให้หมด จากนั้นช่วงค่ำเฮียตี๋ขับรถไปบอกพนักงานอีกคนว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงาน เพราะครอบครัวจะเดินทางไปต่างจังหวัด

ประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเฮียตี๋ก็ใช้ให้ไปซื้อถ่านมาให้ ก็นึกว่าเขาจะเอามาก่อไฟกินหมูกระทะเหมือนที่เคยทำ กระทั่งก่อนเกิดเหตุประมาณ 3 วัน ได้สอบถามแม่ของเฮียตี๋ว่าจะก่อไฟไหม จะก่อไฟให้ เขาก็ตอบว่ายังไม่ถึง เวลา รอหลานก่อน กระทั่งมาพบศพ ภายหลัง จึงทราบว่าใช้ถ่านจุดไฟ รมควันฆ่าตัวตาย

ทุกปัญหามีทางออกเสมอ หากจิตใจเข้มแข็งสามารถทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เมื่อวันที่เมฆหมอกผ่านไป ผู้เข้มแข็งก็จะกลับมายืนได้อีกครั้ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน