คำให้การหนุ่มธาตุพนม

นาทีถูก 7 ทหารซ้อมโหด

พี่ชายดับ-ตัวเองสาหัส

สดจากสนามข่าว

โดย….ชนะ วสุรักคะ

7 ทหารซ้อมโหด – รัฐธรรมนูญ 2560 วรรคสองของมาตรา 29 ระบุว่า ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจําเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคําพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทําความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทําความผิดมิได้ การจะตัดสินว่าใครผิดหรือถูกจึงเป็นหน้าที่ของศาลยุติธรรมไม่ใช่เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ดังนี้การรวบรวมพยานหลักฐานมัดตัวผู้ต้องหาจึงเป็นเรื่องสำคัญ

นายยุทธนา ซ้ายซา หรือด่อน อายุ 33 ปี

วิธีการที่นำมาใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐานก็เป็นสิ่งสำคัญ หลายคดีที่ผู้ต้องหาหลุดรอดไปได้ก็มาจากความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม โดยเฉพาะการซ้อมให้รับสารภาพ เป็นวิธีที่ล้าสมัยและป่าเถื่อน

ย้อนไปเมื่อค่ำวันที่ 18 เม.ย. นายนิวัฒน์ ซ้ายซา วัย 59 ปี อดีตผู้ใหญ่บ้าน บ้านยางคำ ต.อุ้มเหม้า อ.ธาตุพนม จ.นครพนม และ นางป่าน ซ้ายซา อายุ 56 ปี ภรรยา พร้อมญาติๆ นับสิบคน บุกไปชุมนุมกันที่ฐานปฏิบัติการชั่วคราวของเจ้าหน้าที่ทหาร ภายในบริเวณวัดกัณตะศิลาวาส ต.ฝั่งแดง อ.ธาตุพนม เพื่อถามความคืบหน้า

หลังเจ้าหน้าที่ทหารที่ฐานดังกล่าวบุกเข้าจับกุมตัว นายยุทธนา ซ้ายซา หรือ ด่อน อายุ 33 ปี นายณัฐพงษ์ ซ้ายซา หรือ แดง อายุ 29 ปี 2 พี่น้องจากเถียงนาในสวนยางพาราท้ายหมู่บ้าน มาสอบสวน ก่อนที่นายยุทธนาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลหลังบาดเจ็บจากการถูกสอบสวนก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะที่นายณัฐพงษ์น้องชายไม่รู้ชะตากรรม

ฐานทหาร

พ.อ. (พิเศษ) บุญสิน พาดกลาง รอง ผบ.กกล.สุรศักดิ์มนตรี เยี่ยมคนเจ็บ

ชาวบ้านและญาติๆ ของทั้งคู่กดดันจนเจ้าหน้าที่ยอมปล่อยตัวนายณัฐพงษ์ที่ถูกทำร้ายจนน่วมไปทั้งตัวให้ญาติๆ นำตัวส่งโรงพยาบาล โดยแพทย์ พบว่าได้บาดเจ็บสาหัสซี่โครงขวาหัก 2 ซี่ และมีเลือดคั่งอยู่ในช่องท้อง

นายนิวัฒน์เผยว่า เมื่อค่ำวันที่ 17 เม.ย. เพื่อนบ้านได้โทรศัพท์บอกว่าที่สวนยางตนพบเห็นรถยนต์เปิดไฟหน้ารถ มีชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งบุกไปที่เถียงนา และได้ควบคุมตัวนายยุทธนา ผู้ตาย และนายณัฐพงษ์ ลูกชายคนเล็กออกไป ตนจึงได้โทรศัพท์เข้าไปหาลูกชายทั้ง 2 คน ปรากฏว่ามีคนอื่นรับสายแทน บอกว่าลูกชายทั้งคู่อยู่กับ เจ้าหน้าที่ กำลังนำตัวไปสอบสวนเกี่ยวกับ ยาเสพติด หากไม่มีอะไรจะปล่อยตัว แต่เมื่อโทร.อีกครั้งกลับไม่มีผู้รับสาย

สภาพนายณัฐพงษ์ ซ้ายซา

กระทั่งเวลา 01.10 น. ของวันที่ 18 เม.ย. มีผู้ใช้โทรศัพท์ของนายยุทธนา ลูกชายคนโต ผู้ตาย บอกว่าให้ออกไปดูลูกชาย ไม่รู้เป็นอะไรอยู่ระหว่างนำตัวส่ง ร.พ.สมเด็จพระยุพราชธาตุพนม ตนและนางป่าน ภรรยาจึงไปที่ โรงพยาบาลดังกล่าวพบว่าลูกชายเสียชีวิตไปแล้ว ผลการชันสูตรแพทย์พบรอยบาดเจ็บที่สมอง ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก และปอดเขียวช้ำ ในกระเพาะอาหารไม่พบยาเสพติด ตามที่คู่กรณีกล่าวอ้างว่าผู้ตายกลืนยาเสพติด (ยาบ้า) ลงไป ขณะที่ลูกชายอีกคนไม่ทราบชะตากรรมจึงพากันมาตามหาดังกล่าว

ด้าน ร.ต.อ.ธีระพงษ์ ท่าโทม พนักงานสอบสวน สภ.ธาตุพนม หลังทราบผลรายงานของแพทย์ผู้ผ่าชันสูตรศพนายยุทธนาแล้ว ก็จะเชิญผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นทหารตั้งแต่ชั้นประทวนถึงสัญญาบัตร จำนวน 7 นาย มารับทราบข้อกล่าวหา คือ 1.ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และ 2.ร่วมกันทำร้ายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส

ต่อมาวันที่ 20 เม.ย. ที่บ้านของผู้เสียชีวิต ทหารจากกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ชุด ชป.กร.207 และชุด ชพส.2121 ต.พระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม ตัวแทนของกองบังคับการควบคุมที่ 1 ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดชายเเดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มาเคารพศพพร้อมมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น จำนวน 1 หมื่นบาทและรับเป็นเจ้าภาพงานศพจนกว่าจะเสร็จสิ้น

7 ทหารขอขมาศพ

ขณะที่นายณัฐพงษ์เล่าเหตุการณ์ว่า ขณะตนกับพี่ชายนั่งกินข้าวอยู่ภายในกระท่อมนา จู่ๆ มีรถกระบะของทหารมาจอด และบุกเข้าไปพยายามจับตัว ทำให้ตนกับพี่ชายตกใจและพยายามหนี โดยยอมรับว่า เสพยา แต่ไม่เคยสร้างปัญหาเดือดร้อนให้สังคม ทำผิดก็ยอมรับผิดหากจับไปดำเนินคดี ไม่เคยคิดขัดขืน

นาทีแรกตั้งแต่จับตัวพี่ชายกับตนถูกใส่กุญแจมือไพล่หลัง จากนั้นมาเป็นชุดเลย ทั้ง เตะถีบ กระทืบสารพัด พอนำไปฐานปฏิบัติการยังซ้อมต่อเป็นชั่วโมง เค้นให้รับกล่าวหาว่า ค้ายาบ้า ทั้งที่ตนกับพี่ชายเสพแค่นั้น ตอนนั้นถูกปิดไฟ แยกซ้อม ได้ยินแต่เสียง พี่ชายถูกซ้อมครวญครางด้วยความเจ็บปวด หลังพอใจก็ปล่อยให้พัก 10 นาที จึงย้อนกลับมากระทืบอีกรอบ จนตนและพี่ชายสลบไป จึงลากร่าง ตนและและพี่ชายมานอนกองรวมกันที่พื้น

“ผมรู้สึกตัวพบว่าพี่ชายนอนแน่นิ่งไปแล้ว เรียกก็ไม่ตอบ ต่อมามีชายชุดพรางเข้ามาดูพบว่านอนตาค้าง จึงออกไปบอกผู้บังคับบัญชามาดู และรีบพาส่ง ร.พ.สมเด็จพระยุพราชธาตุพนม มารู้ทีหลังว่าเสียชีวิต ส่วนผมเจ็บปวดทรมานมาก ขอร้องเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง จนคิดว่าจะไม่รอด การกระทำของทหารกลุ่มนี้มันเลวร้ายมาก โหดเหี้ยมเกินคน ไม่คิดว่าคนที่เป็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะทำแบบนี้” นายณัฐพงษ์กล่าว

ส่วนทางด้านการดำเนินคดีทั้ง 7 นาย ถูกนำตัวไปสอบสวนหาข้อเท็จจริง ตามระเบียบของข้าราชการทหาร โดยทั้งหมดให้การรับสารภาพว่ากระทำจริง

หน้าที่ของทหารและตำรวจนั้นแตกต่างกัน การฝึกการปลูกฝังวิธีคิดหรือการหล่อหลอมบุคลากรก็ย่อมแตกต่างกัน การใช้คนให้เหมาะสมกับงานจึงจะได้ผลดีที่สุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน