ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ปฏิบัติการช็อกโลกเศรษฐกิจอีกครั้ง ด้วยการประกาศปรับขึ้นภาษีสินค้าจากจีน จาก 10 % เป็น 25% ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค.62 ซึ่งเป็นไปตาม

หลัก America First “อเมริกาต้องมาก่อน” นั่นคือ ผลประโยชน์ของประเทศต้องมาก่อน ปากท้องของชาวอเมริกันต้องมาก่อน ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาที่เขาเคยให้ไว้ตั้งแต่รณรงค์หาเสียง

เลือกตั้งประธานาธิบดี และยังคงเดินหน้า อย่างแข็งขัน

“ผลประโยชน์ของประเทศต้องมาก่อน” ในมุมมองของทรัมป์ ไม่จำกัดเฉพาะการปรับขึ้นภาษี เท่านั้นแต่ยังรวมถึงการจำกัดบทบาทการลงทุนของจีนในสหรัฐฯ เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ มองว่า จีนคือ คู่แข่งที่พยายามจัดระเบียบโลกใหม่ โดยใช้เศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อน นี่เป็นการอ่านเกมของคนที่มองหมากทั้งกระดาน ผ่านสมรภูมิธุรกิจมาทั้งชีวิต

เรื่องนี้ จะเป็นบทเรียนของคนไทย ที่อยู่ระหว่างการคัดเลือกผู้รับสัมปทานร้านค้าปลอดอากรในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะทราบผลผู้ชนะในวันที่ 31 พฤษภาคม นี้

ล่าสุด ก็เปิดหน้ามาให้เห็นแล้วว่า ผู้เข้าร่วมประมูลส่วนใหญ่เลือกที่จะจับมือกับทุนดิวตี้ฟรีต่างชาติ โดย บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด จับมือ บริษัท ดีเอฟเอส เวนเจอร์ สิงคโปร์ จำกัด ผู้ประกอบกิจการดิวตี้ฟรีในสนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร์ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จับมือ บริษัท โฮเต็ล ล็อตเต้ จำกัด ผู้ประกอบกิจการดิวตี้ฟรีจากประเทศเกาหลีใต้ และบริษัทโรงแรมรอยัลออคิด (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมมือ WDFG UK LIMITED ผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีที่มีฐานในประเทศอังกฤษ เป็นการยืนยันว่า ธุรกิจดิวตี้ฟรีไทย มีขนาดใหญ่ และศักยภาพมากพอที่ ดิวตี้ฟรีระดับท็อปของโลก จะมาร่วมประมูลในครั้งนี้ ส่วน บจก.คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี อันดับ 7 ของโลก ยังคงเป็นบริษัทคนไทย ไม่จับมือกับต่างชาติ ในการสู้ศึกรอบใหม่ ด้วยความเชื่อมั่นว่า “คนไทยทำได้” 2 ประการ

หนึ่ง คนไทยทำมาก่อน จนเข้มแข็ง

15 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจดิวตี้ฟรี สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เติบโตอย่างเข้มแข็ง เป็นหน้าเป็นตาของคนไทยด้วยฝีมือคนไทยล้วนๆ ก่อนที่ต่างชาติจะชายตาขอเข้ามามีเอี่ยวผ่านกลุ่มทุนไทยที่ขาดประสบการณ์ตรง เท่ากับเป็นการต่อยอดความมั่งคั่งที่คนไทยสร้างไว้

การเติบโตของดิวตี้ฟรีไทย ที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่เอื้ออำนวยหรือราบรื่น ตรงกันข้าม กลับเผชิญวิกฤติเป็นระยะๆ อาทิ การระบาดของไข้หวัดนก วิกฤติการณ์แฮมเบอร์เกอร์ ความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งคิง เพาเวอร์ ได้ใช้ความสามารถและความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องฝ่าฟัน จนสามารถนำรายได้สู่ประเทศชาติและนำส่งภาครัฐได้อย่างเต็มเม็ด เต็มหน่วย นี่คือ ระดับประสบการณ์ในบริบทเมืองไทยที่บริษัทดิวตี้ฟรีระดับโลก ไม่เคยรับมือมาก่อน

กิจการดิวตี้ฟรี จึงกลายเป็นทั้งประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวมีระดับและระบบการค้าปลีกแบบใหม่ ที่จะสามารถเป็นประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อการท่องเที่ยวไทย ด้วยบริษัทของคนไทย ที่มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญ มีความเป็นมืออาชีพ ที่เข้าใจสภาพตลาด ได้รับความเชื่อถือจากทั้งบริษัททัวร์ และเจ้าของแบรนด์ ผ่านประสบการณ์แก้ไขสถานการณ์วิกฤติมาแล้ว สามารถทำงานทุ่มเทให้กับผลประโยชน์ของคนไทยแบบไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือข้อคลางแคลงใจด้านธรรมาภิบาล

สอง คนไทย ต้องดูแลผลประโยชน์คนไทย

หากกิจการดิวตี้ฟรี เป็นประตูแห่งความมั่งคั่งของโลกการค้าปลีกยุคใหม่ เราควรไว้ใจคนไทยหรือต่างชาติให้ยืนเฝ้า ดูแลประตูสำคัญนี้

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่ากิจการค้าปลีกในท่าอากาศยานทั่วโลกจะสามารถแตะระดับมูลค่า หนึ่งแสนล้านเหรียญสหรัฐได้ภายใน 10 ปีนับจากนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังคงเพิ่มมากขึ้น ผนวกกับกลยุทธ์ของลักซัวรีแบรนด์ และไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป จำนวนผู้คนเดินทางท่องเที่ยวนับวันจะเพิ่มมากขึ้น ในแต่ละปี โดยมีคนราว 1 พันล้านคนเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ นักท่องเที่ยว เต็มใจใช้เวลาและเงินทองที่สนามบิน เนื่องจากรูปแบบร้านค้าที่เป็นพื้นที่เปิดโล่ง (open plan) มีความเป็นมิตรกว่าในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าในเมือง เจ้าของแบรนด์ลักชัวรี ตระหนักว่า ร้านค้าปลอดอากร คือที่ คัดสรรกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่มาจากประเทศต่างๆ มากมาย ท่าอากาศยานกลายเป็นพื้นที่ที่แบรนด์สินค้าต่างๆ ได้ทดสอบโอกาสความสำเร็จในตลาดใหม่ๆ จึงให้ความสำคัญกับพื้นที่สนามบิน มากกว่าในระบบห้างสรรพสินค้าแบบดั้งเดิม

ในสงครามเศรษฐกิจ การค้าปลีกในสนามบิน จึงเป็นกระดานสำคัญที่ ทุนดิวตี้ฟรีต่างชาติต้องการแทรกตัวเข้ามา เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน นอกเหนือจากการแบ่งปันความมั่งคั่งที่จะเกิดขึ้น นี่คือ สิ่งที่คนไทยต้องรู้เท่าทัน มองหมากทั้งกระดานให้ออก ว่าคงไม่มีใครจะคิดถึง คนไทย เท่าคนไทยด้วยกัน และถ้าจะให้ คนไทยอยู่รอดได้ แข่งขันได้ “คนไทยต้องมาก่อน”

ทั้งนี้ภายใต้กรอบกติกา การแข่งขันเพื่อคัดเลือกผู้รับสัมปทานดิวตี้ฟรี โดยบริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กำหนดหลักเกณฑ์ 4 ข้อ คือ หนึ่ง ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในเชิงธุรกิจของผู้ยื่นข้อเสนอการดำเนินงาน 15 คะแนน สอง แผนการดำเนินงาน 40 คะแนน สาม แผนธุรกิจ 25 คะแนน และข้อสุดท้าย ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี (Minimum Gurrantee) ที่เสนอให้ ทอท. 20 คะแนน รวม 100 คะแนน

เป็นเกณฑ์คัดเลือกที่ชัดเจน ที่ทุกฝ่ายเดินเข้าสู่การแข่งขันตามกติกานี้แล้ว ไม่ต้องเล่นกันนอกเกมอีกต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน