กสศ. เล็งขยายทุนช่วย นร.ยากจน ตั้งแต่อนุบาล ขอครูกรอกข้อมูลให้ครบ เด็กไม่เสียโอกาส

กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จัดประชุมชี้แจงการดำเนินงานจัดทำข้อมูลระบบการคัดกรองนักเรียนยากจนและนักเรียนยากจนพิเศษ (นักเรียนทุนเสมอภาค) ประจำภาคเรียนที่ 2/2562 ให้แก่เขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 255 เขต ทั่วประเทศ ผ่านระบบ Tele Conference ที่ห้องประชุม DOC อาคาร สพฐ.5

ว่าที่ รต.ธนุ วงษ์จินดา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวว่า โครงการเงินอุดหนุนช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไข หรือ CCT ของโรงเรียนสังกัด สพฐ. เป็นหนึ่งในโครงการบูรณาการงานระหว่าง ศธ.และกสศ. ที่เป็นรูปธรรมในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและเกิดผลลัพธ์มุ่งตรงกลุ่มเป้าหมายนักเรียนที่ยากจนที่สุด

ในปีการศึกษา 2562 มีนักเรียนยากจนพิเศษระดับชั้นประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการสถานศึกษาจำนวนทั้งหมด 723,604 คน ได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไขหรือทุนเสมอภาคจาก กสศ. จำนวนทั้งสิ้น 699,737 คน ใน 27,512 สถานศึกษาสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศ หรือร้อยละ 98.5

แสดงให้เห็นถึงความพยายามร่วมมือจากสถานศึกษาและเขตพื้นที่ที่ช่วยกันกรอกข้อมูลเข้ามาได้ทันเวลาเกือบ 100% แต่ทั้งนี้พบว่าในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ที่ผ่านมายังมีสถานศึกษาที่บันทึกข้อมูลเลขบัญชีธนาคารไม่ถูกต้องจำนวน 309 สถานศึกษา ส่งผลให้นักเรียนที่อยู่ในเกณฑ์นักเรียนยากจนพิเศษเสียโอกาสได้รับเงินอุดหนุนสร้างโอกาสทางการศึกษานี้ไป

ดังนั้น ในภาคเรียนที่ 2/2562 นี้ จึงขอความร่วมมือให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 225 เขต ติดตามกำชับให้สถานศึกษา และคุณครู ร่วมกันกรอกข้อมูลในขั้นตอนต่างๆ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ โดย กสศ.จะช่วยพัฒนาแอพพลิเคชั่นเพื่อเป็นเครื่องมือให้ทั้ง 225 เขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งเป็นหน่วยกำกับติดตาม สามารถติดตามการคัดกรอง การจัดสรรเงินทุนเสมอภาคของทุกโรงเรียนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์แบบเรียลไทม์

ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวต่อว่า สิ่งที่ สพฐ.และกสศ.ให้ความสำคัญอีกเรื่องคือ นักเรียนที่มีความด้อยโอกาสหลายประเภท ล่าสุดได้ประสานให้ทาง กสศ. ปรับระบบการคัดกรองความยากจน CCT ในภาคเรียนที่ 2/2562 ให้ครูสามารถเลือกความด้อยโอกาสได้หลายประเภท เพื่อช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาความเดือดร้อนซ้ำซ้อนได้

นอกจากนี้ รายงานผลลัพธ์โดยระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พบว่า 98% ของนักเรียนทุนเสมอภาคมาเข้าเรียนสม่ำเสมอตามเกณฑ์มาตรฐาน คือไม่น้อยกว่า 80% ข้อมูลนี้ช่วยยืนยันว่า เงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไขแม้เป็นจำนวนไม่มาก แต่สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของนักเรียนและครอบครัวได้จริง เพราะการขาดเรียนบ่อยเป็นสัญญาณเตือนของการหลุดออกจากระบบการศึกษา

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักเรียนอีก 2% ที่ตัวเลขการมาเรียนไม่ถึง 80 % ตามเงื่อนไขของเงินอุดหนุน ทาง สพฐ.และกสศ.ไม่นิ่งเฉยต่อปัญหานี้ โดยร่วมกันวางระบบส่งต่อข้อมูล เร่งติดตาม เพื่อนำเด็กกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สพฐ. รวมถึงบูรณาการความช่วยเหลือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาเป็นรายคน ป้องกันไม่ให้มีนักเรียนคนใดหลุดออกจากระบบการศึกษา

ดร.ไกรยส – ว่าที่ รต.ธนุ

ด้าน ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า เงินอุดหนุนอย่างมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer: CCT) เป็นนวัตกรรมปฏิรูปมาตรการลดความเหลื่อมล้ำที่เป็นแนวทางเดียวกับงานวิจัยที่ได้รับรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ปีนี้ ซึ่งหลายประเทศประสบความสำเร็จในการใช้มาตรการดังกล่าวลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างมีประสิทธิผล

กสศ. จึงวิจัยพัฒนามาตรการดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทยเป็นที่แรกร่วมกับ สพฐ. เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่ยากจนที่สุด ได้ตรงความต้องการที่แท้จริง และสามารถใช้ป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษาและส่งเสริมพัฒนาการที่สมวัยตามช่วงวัย ทั้งเด็กเยาวชนที่ประสบปัญหาความด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจสังคม และปัญหาสุขภาพ

รอง ผจก.กสศ. กล่าวอีกว่า คุณครูสามารถคัดกรองและบันทึกข้อมูลนักเรียนกลุ่มเข้าใหม่และนักเรียนที่ประสงค์ขอรับทุนเสมอภาคเพิ่มเติมได้ระหว่างวันที่ 1-20 ธ.ค. 2562 นี้ นอกจากนี้ ในปีการศึกษา 2563 กสศ.ยังได้เตรียมขยายฐานการช่วยเหลือไปถึงเด็กอนุบาลยากจนพิเศษราวประมาณ 1.5 แสนคน เพื่อตอบโจทย์เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 54 ที่กำหนดให้รัฐมีหน้าที่จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับก่อนวัยเรียนจนถึงการศึกษาภาคบังคับโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และให้จัดตั้ง กสศ. ขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้มีโอกาสที่เสมอภาคทางการศึกษา

คณะกรรมการบริหาร กสศ. จึงมีมติขยายผลการดำเนินการช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษสู่ระดับอนุบาลในปีงบประมาณ 2563 นี้ อย่างไรก็ตาม งบประมาณที่แน่นอนจะต้องรอร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา คาดว่าจะทราบผลในเดือน ธ.ค. 62-ม.ค. 63 นี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน