เพจแมชและเว็บไซต์ไลฟ์ของรัสเซียรายงานคดีสลดที่มีคนสนใจอย่างกว้างขวาง เมื่อรถยนต์ชนเด็กเสียชีวิต ในลานหมู่บ้านอพาร์ตเมนต์ ที่เมืองบาลาชีคา ภาคกลางของรัสเซีย แต่ข้อสรุปผลการตรวจสอบผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าในเลือดเด็กมี “แอลกอฮอล์” 2.7 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือวอดก้า 300 กรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่อันตรายอย่างร้ายแรงสำหรับเด็กเล็ก
เหตุเกิดเมื่อ 23 เม.ย. ขณะที่ด.ช.อัลโยช่า ชิมโค่ อายุ 6 ขวบ ขี่จักรยานกลับบ้านมาจากการเดินเล่น พร้อมคุณปู่ซึ่งติดตามหลานอย่างใกล้ชิด รถเก๋งยี่ห้อฮุนไดชนทับด.ช.อัลโยช่าและลากออกไป 10 เมตร ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมาในที่เกิดเหตุ
พยานให้การกับตำรวจว่า คนขับรถ คือ นางออลกา อาลีโซว่า อายุ 31 ปี คุยโทรศัพท์มือถือและขับรถด้วยความเร็ว 50 ก.ม./ช.ม. แต่นางออลกาอ้างว่าเด็กผิดเองที่ถูกชน ในคดีนี้มีข้อสรุปผู้เชี่ยวชาญว่า ในเลือดเด็กมี “แอลกอฮอล์” 2.7 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โดยดื่มวอดก้า ส่วนพนักงานสอบสวนสรุปว่า เด็กล้มเองจนรถเก๋งชนทับ
ครอบครัวด.ช.อัลโยช่าเมื่อเห็นข้อสรุปนี้ จึงเสนอให้ขุดศพลูกชายมาดำเนินการตรวจสอบครั้งที่ 2 เพื่อพิสูจน์ว่าเมาจริงหรือไม่ โดยยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสอบสวน ตำรวจนครบาลมอสโก และอัยการสูงสุด เมื่อช่วงกลางเดือน มิ.ย. และว่า คดีไม่มีการพิจารณากว่า 1 เดือน พยานถูกกดดัน ภาพกล้องวงจรปิดจากที่เกิดเหตุหายไป และหลักฐานถูกทำลาย
รายงานระบุว่าการตรวจสอบครั้งที่ 2 จำเป็นสำหรับการฟ้องร้องนางออลกา ข้อหาละเมิดกฎจราจรจนผู้อื่นถึงแก่ความตาย และผู้เชี่ยวชาญที่สรุปว่าเด็กมึนเมา ข้อหาประมาทเลินเล่อ
นายโรมัน ชิมโค่ พ่อด.ช.อัลโยช่า เล่าว่า พยายามอธิบายให้พนักงานสอบสวนว่า ด.ช.วัย 6 ขวบ ไม่สามารถดื่มเหล้าเป็นขวดได้ แต่พนักงานสอบสวนมั่นใจว่า ข้อสรุปจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และถามตนว่าตรวจสอบเพื่ออะไร
นายโรมันกล่าวถึงนางออลกาว่า “ปากว่าตาขยิบ” เพราะพูดว่า “ดิฉันขอโทษ แต่เด็กล้มฟาดถนนเอง ดิฉันไม่เห็นเด็ก และเป็นอุบัติเหตุ” แต่ตนไม่เชื่อ เพราะลูกชายวิ่งผ่านหน้ารถ แต่นางออลกาไม่เห็น และลูกชายไม่ได้ล้มเองด้วย
ด้านนางออลกาเผยว่า ไม่เชื่อว่าด.ช.อัลโยช่ามีอาการมึนเมา พร้อมขอโทษนายโรมันแล้ว แต่ปฏิเสธยอมรับว่าตนผิด ขณะที่ทนายความฝ่ายตนตั้งคำถามว่า ใครได้ประโยชน์จากการปลอมแปลงการตรวจสอบนี้ ต้องมีคนได้รับเงินว่าจ้างมา
ต่อมารายงานแจ้งว่า นายมิฮาอิล เคลย์เมนอฟ ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเซ็นรับรองข้อสรุปดังกล่าว ชี้ว่า ตนไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบ แค่สุ่มตัวอย่างเลือดเด็ก ส่งไปที่โรงพยาบาล และได้รับผลเลือดกลับมา และเซ็นเอกสารข้อสรุปเพื่อนแพทย์ที่ดำเนินการตรวจสอบ ตนไม่ได้ดูรายละเอียดข้างใน
ด้านคณะกรรมการสอบสวนยืนยันว่า จากการตรวจสอบครั้งแรก ด.ช.อัลโยช่ามีอาการมึนเมาจริง โดยตรวจสอบดีเอ็นเอจากตัวอย่างเลือดเด็กที่มีแอลกอฮอล์ในศูนย์พิสูจน์หลักฐานในสังกัดตน พบว่าเลือดเป็นของเด็ก และในรถเก๋งนางออลกามีรอบเลือดเด็ก ก็พบแอลกอฮอล์ แต่พ่อเด็กกล่าวว่า ในข้อสรุปของการตรวจสอบครั้งแรกระบุว่า หลอดลม ลิ้น และในช่องท้องลูกชาย ไม่มีแอลกอฮอล์ คงมีคนจงใจฉีดแอลกอฮอล์เข้าตับลูกชาย
ต่อมาศูนย์พิสูจน์หลักฐาน ตำรวจนครบาลมอสโก เปิดเผยผลการตรวจสอบครั้งที่ 2 ระบุว่า ไม่มีแอลกอฮอล์ในเลือดของด.ช.อัลโยช่า โดยผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถยืนยันได้ว่า เด็กมีอาการเมา เพราะไม่สามารถระบุว่าแอลกอฮอล์เนื่องจากการระเหย ซึ่งขัดแย้งกับคณะกรรมการสอบสวนแห่งรัสเซียก่อนหน้านี้
แต่ตำรวจนครบาลมอสโกปฏิเสธว่า ศูนย์พิสูจน์หลักฐานในสังกัดตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจเลือดครั้งที่ 2 และมีเอกสารจากผู้เชี่ยวชาญในตำรวจนครบาลฯ ว่า นางออลกาสามารถป้องกันเหตุร้ายได้โดยใช้เบรกฉุกเฉิน ซึ่งทำให้เด็กมีโอกาสรอดชีวิต
ขณะที่ทนายความนางออกลาเปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนให้ตนเซ็นหมายศาลเพื่อรับทราบ ซึ่งการสอบสวนคดีสิ้นสุดและจะส่งไปศาล ตนไม่อยากเซ็นแต่ถูกกดดันและขังในกรมสอบสวนกลางฯ 4 ช.ม. ทั้งนี้ กรมสอบสวนกลางฯ สิ้นสุดการสอบสวนและส่งคดีไปศาลแล้วเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.