จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ได้ตรวจคำฟ้องและเอกสารประกอบที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ไปยื่นสำนวนคำฟ้องในเบื้องต้นแล้ว เห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบกลาง ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559 จึงมีคำสั่งให้รับสำนวนคำฟ้อง ไว้พิจารณาเพื่อไต่สวนมูลฟ้องตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด และนัดรวบรวมพยานเอกสาร หลักฐาน บัญชีพยานบุคคลวันที่ 16 มกราคม 2561 เวลา 9.00 น. และตรวจสอบพยานหลักฐานวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 9.00 น. ก่อนที่จะกำหนดนัดไต่สวนพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องต่อไป

ตามกระบวนการพิจารณาดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมานั้น ศาลเพียงรับสำนวนคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาเพื่อรอการไต่ส่วนมูลฟ้องตามกำหนดต่อไป ยังมิได้วินิจฉัยว่าคดีมีมูลหรือไม่ อีกทั้งมิได้เป็นการประทับรับฟ้องแต่อย่างใด

ตามลำดับเหตุการณ์เมื่อเช้าวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลได้นัดฟังคำสั่งในคดีหมายเลขดำ อท.352/2560 ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตรองประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านกลไกในการปราบปรามการทุจริต คณะกรรมาธิการวิสามัญป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสงค์ พูนธเนศ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) กับพวกรวม 18 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ เป็นกรรมการหรือผู้บริหารไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบฯ จนเป็นเหตุให้บริษัทได้รับความเสียหายฯ และเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของบริษัท กระทำการหรือไม่กระทำการ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้กรณีร่วมกระทำผิดกฎหมายและข้อสัญญาที่ก่อหรือเอื้อประโยชน์ให้เอกชนได้รับผลประโยชน์เกินกว่าที่สัญญาระบุไว้ ซึ่งมีการยื่นฟ้องคดีตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค.60 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตฯได้กล่าวย้ำว่า “วันนี้ศาลมีคำสั่งรับสำนวนคำฟ้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ไว้พิจารณา ยังไม่ได้ไต่สวนว่าคดีมีมูล หรือตัดสินว่ามีความผิดแต่อย่างใด ขอให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวให้ถูกต้อง และเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ศาลอาญาคดีทุจริตฯ จึงมีคำสั่ง ห้ามคู่ความไม่ให้เผยแพร่ข้อมูล และพยานหลักฐาน ที่อาจจะกระทบต่อกระบวนการพิจารณาของศาล จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือ ศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น”

สำหรับกรณีการฟ้องร้องดังกล่าว เป็นเรื่องเดิมที่นายชาญชัยได้กล่าวหาว่า ผู้บริหาร ทอท. เอื้อประโยชน์ ให้แก่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ โดยที่สัญญาฯ ระหว่าง ทอท. กับ คิง เพาเวอร์ ให้เก็บรายได้เข้ารัฐ 15 % จากยอดการขายสินค้าหรือบริการที่สนามบินสุวรรณภูมิ (ทสภ.) แต่คณะกรรมการ ทอท. อนุมัติให้เก็บเพียง 3 % ก่อให้เกิดความเสียหายกับรัฐมูลค่า 14,290,660,119 บาท

ซึ่งก่อนหน้านี้ นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” ได้อธิบายพร้อมชี้แจงต่อผู้บังคับบัญชา หน่วยงานภาครัฐ และต่อสื่อสาธารณะต่อเนื่องมาหลายครั้ง ถึงการปรับเปลี่ยนอัตราการเรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนดังกล่าว เป็นการปรับเปลี่ยน จากอัตราร้อยละ 15 ของยอดรายได้จากการให้บริการส่งมอบสินค้าปลอดอากร (ซึ่งเป็นบริการประเภทหนึ่งภายใต้สัญญาฯ) เป็น ร้อยละ 3 ของยอดมูลค่าสินค้าปลอดอากร ที่ส่งมอบให้แก่ลูกค้า/ผู้โดยสาร (ที่ซื้อสินค้าฯ จากร้านค้าปลอดอากรในเมือง) เมื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

โดยเมื่อคำนวณค่าผลประโยชน์ตอบแทนที่ ทอท. ได้รับจากการปรับเปลี่ยนตามอัตราจัดเก็บใหม่เพิ่มเป็นร้อยละ 3 เป็นจำนวนที่มากร้อยละ 0.45ส่งผลให้ ทอท. ได้รับเงินค่าผลประโยชน์ตอบแทนเพิ่มขึ้น และทำให้ ทอท.ได้รับประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิมจากที่ระบุไว้ในสัญญาฯ ซึ่งเป็นประโยชน์โดยรวมต่อภาพรวมทางรายได้ของหน่วยงานด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน