แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นยุคสมัยที่การค้าขายเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองปราศจากศึกสงคราม ทำให้มีโอกาสทำนุบำรุงบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ศาสนสถาน”

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างวัดขึ้นใหม่ในแบบอย่างสถาปัตยกรรมที่แตกต่างออกไปจากรัชกาลก่อนหน้า และยัง แตกต่างจากยุคของกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย

โดยรูปแบบผสมผสานระหว่างศิลปะไทยและจีน ที่วิจิตรงดงามมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงปัจจุบัน นอกเหนือจากวัดประจำรัชกาล คือ “วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร” แล้ว ยังมี อีกมากมายหลายวัด แต่หากเจาะจงเฉพาะวัดเด่นๆ ที่เป็นสถาปัตยกรรมพระราชนิยม เห็นจะมีดังนี้ วัดราชนัดดารามวรวิหาร วัดเทพธิดาราม วัดยานนาวา วัดนางนองวรวิหารและ วัดกัลยาณมิตรเป็นต้น

เล่ากันว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าเครื่องใช้ไม้ไม่ทน จึงทรงเปลี่ยนมาเป็นปูน และเวลานั้นช่างคนไทยที่ฉาบปูนได้มีน้อย ขณะที่ช่างจีนชำนาญกว่าแต่ไม่ชำนาญลวดลายไทย

จึงทรงผสมผสานแบบจีนกับไทยให้กลมกลืนกันจนกลายมาเป็นงานช่างที่เรียกว่า “พระราชนิยม”

บันทึกของ ม.ร.ว.ศุภวัฒน์ เกษมศรี บันทึกไว้ว่า คงเป็นพระบรมราโชบายที่ลึกซึ้งด้านหนึ่ง เพื่อให้ชาวจีนหันมาเลื่อมใสศรัทธาทำบุญในพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากขึ้น ทั้งยังเกิดผลดีแก่ชาวจีน ช่วยลดช่องว่างทางสังคมลง

การสร้างวัดของรัชกาลที่ 3 ปรากฏในเวลาต่อมาว่าขุนนางและราษฎรที่มีฐานะดี ไม่ว่าคนไทย หรือคนจีนต่างพากันสร้างวัดโดยเสด็จพระราชกุศลมากมาย ทำให้เกิดผลดีแก่พระพุทธศาสนา และยังมีผลในด้านวัฒนธรรมสังคมด้วย

จะเห็นได้ว่ารัชกาลที่ 3 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ “ทรงสร้างบูรณา การทางวัฒนธรรมและการเมือง” ดังเช่นที่ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์อาวุโส เจ้าของรางวัลฟุกุโอกะ กล่าวไว้

เนื่องจากการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการทำนุบำรุง และสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆ ขึ้นมาใหม่ หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 และต้นรัชกาล ประเทศยังตกอยู่ในภาวะยากจนเป็นอย่างมาก

สิ่งหนึ่งที่รัชกาลที่ 3 ทรงทำคือ ทรงตั้ง “ระบบการจัดเก็บภาษี” ขึ้นหลายอย่าง เพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลังหลวง เช่น จังกอบ อากร ฤๅชา ส่วย ภาษีเงินค่าราชการจากไพร่ เงินค่าผูกปี้ข้อมือจีน เป็นต้น

วิธีการเก็บภาษีอากรที่ทรงทำก็คือ ให้เอกชนประมูลรับเหมาผูกขาดไปเรียกเก็บจากราษฎรเอาเอง เรียกว่า “เจ้าภาษี” หรือ “นายอากร” ส่วนใหญ่ชาวจีนเป็นผู้ประมูลได้และเป็นนายอากร

นอกจากนี้รายได้ของรัฐอีกส่วนหนึ่งยัง ได้มาจากการค้าขายกับชาวต่างชาติ โดยไทยส่งเรือสินค้าเข้าไปค้าขายในประเทศต่างๆ มากมาย

เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว สนพระราชหฤทัยและเชี่ยวชาญ การส่งเรือสินค้าออกไปค้าขายมาตั้งแต่ครั้งทรงเป็น“พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์” จนสมเด็จพระบรมชนกนาถ (รัชกาลที่ 2) ตรัสเรียกพระองค์ว่า “เจ้าสัว”

เมื่อเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ทรงสนับสนุนการค้ากับต่างประเทศ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ต่อเรือกำปั่นใช้ในการค้าจำนวนมาก รายได้จากการค้าสำเภานี้นับเป็นรายได้สำคัญของประเทศในขณะนั้น

เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต เงินในท้องพระคลังหลวง ซึ่งรวมถึงเงินค่าสำเภาที่เหลือจากการจับจ่ายของแผ่นดินมีถึง 40,000 ชั่ง

เงินนี้นอกเหนือจากทำนุบำรุงรักษาวัดที่ชำรุดเสียหาย และวัดที่สร้างค้างอยู่ 10,000 ชั่ง ที่เหลือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รักษา ไว้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผ่นดิน

แม้จะทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ปรีชาทั้งด้านเศรษฐกิจและการปกครอง แต่ในการขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว กลับกลายเป็นประเด็นถกเถียงสำหรับนักประวัติศาสตร์ รุ่นหลัง

ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้จะเป็นอย่างไร ต้องติดตามในทัวร์ของ “มติชน อคาเดมี” One Day Trip จัดนำเที่ยว “5 วัดดังรัชกาลที่ 3 ยลงานช่างพระราชนิยม ตำนาน “เจ้าสัว” กู้แผ่นดิน” ให้ผู้สนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์ได้สัมผัสทั้งเรื่องจริง ข้อมูลจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และสนุกสนานกับเกร็ดความรู้ที่หาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว

โดยผ่านการบอกเล่าจากปากของนักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญการอ่านศิลาจารึก “รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ” พร้อมชมความสวยงามอลังการ 5 วัดดังศิลปะพระราชนิยมรัชกาลที่ 3 ได้แก่ “วัดยานนาวา” ที่สร้างเรือสำเภาจำลอง เพราะมีพระราชประสงค์ให้คนรุ่นหลังรู้จักเรือสำเภาจีน “วัดราชนัดดาราม” วัดที่ตั้ง “โลหะปราสาท” เป็นองค์ที่ 3 ของโลก

“วัดราชโอรสาราม” วัดประจำรัชกาลที่ 3 สร้างบนนิวาสถาน ของพระประยูรญาติ ฝ่ายพระบรมราชชนนี คือกรมสมเด็จพระศรี สุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียมในรัชกาลที่ 2)

มีเรื่องเล่าถึงการตั้งจิตอธิษฐานของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ขอให้เสด็จฯ ไปราชการทัพรบพม่าประสบความสำเร็จ หากมีชัยชนะกลับมาเมื่อไหร่จะบูรณะวัดให้เจริญรุ่งเรือง ท้ายที่สุดพม่าไม่ได้ยกทัพมา จึงเสด็จฯ กลับพระนคร และได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดตามที่ตรัสไว้

เสร็จแล้วน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวงแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า “วัดราชโอรส” หมายถึงวัดที่พระราชโอรสทรงสถาปนา นับเป็นวัดแรกที่คิดสร้างนอกแบบอย่างสามัญที่สร้างกัน

เรื่องราวของวัดราชโอรสารามยังมีมุมอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้ง วัดอื่นๆ อีก 4 วัดที่มีความน่าสนใจ ชวนร่วมเดินทางไปกับ “ทัวร์ 5 วัดดัง ร.3 ยลงานช่างพระราชนิยม ตำนาน “เจ้าสัว” กู้แผ่นดิน” ในวันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561 นี้

ทัวร์ 5 วัดดัง ร.3 ยลงานช่างพระราชนิยม ตำนาน “เจ้าสัว” กู้แผ่นดิน

วิทยากร : รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561

07.30 น. ลงทะเบียน และรับประทานอาหารเช้า ที่มติชนอคาเดมี

08.30 น. ออกเดินทางไปวัดราชโอรสารามวรวิหาร วัดประจำรัชกาลที่ 3

10.30 น. เดินทางไปวัดนางนองวรวิหาร วัดเก่าแก่สันนิษฐานว่าเป็นนิวาสถานของสมเด็จพระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม) พระราชชนนีในรัชกาลที่ 3 ชมพระอุโบสถศิลปกรรมแบบพระราชนิยม

12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน ร้านหมี่กรอบจีนหลี ร้านชื่อดังเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

13.00 น. เดินทางไปวัดยานนาวา วัดที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์และสร้างเรือสำเภาพระเจดีย์แทนพระสถูปเจดีย์ทั่วไป

14.30 น. เดินทางไปวัดราชนัดดารามวรวิหาร วัดที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติแก่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี พร้อมชมโลหะปราสาท ที่ได้รับการยกย่องเป็นโลหะปราสาทแห่งที่ 3 ของโลก

16.00 น. เดินทางไปวัดเทพธิดารามวรวิหาร วัดที่สร้างขึ้นรัชสมัยรัชกาลที่ 3 เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์เจ้าหญิงวิลาศ

18.30 น. เดินทางถึงมติชนอคาเดมี โดยสวัสดิภาพ

หมายเหตุ – กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน