เมื่อ “พลังดูด” ต่อกรณี นายสนธยา คุณปลื้ม นายอิทธิพล คุณปลื้ม 2 พี่น้องแห่งพรรคพลังชล สายตาก็เริ่มมองไปยังนครปฐม มองไปยังฉะเชิงเทรา มองไปยังสุโขทัย มองไปยังบุรีรัมย์
แม้กระทั่งนครราชสีมา และสุพรรณบุรีก็ไม่เว้น
มีความเชื่อมั่นระดับหนึ่งว่า รายต่อไปอาจเป็นการดูดคนจากบ้านริมน้ำ การดูดคนจากบ้านเรียงหิน และการดูดคนจากซุ้มนครปฐม
ต่อเนื่องไปยังสุพรรณบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์
กระนั้น หากฟังจากท่าทีของ นายวราวุธ ศิลปอาชา ฟังจากท่าทีของ นายเนวิน ชิดชอบ รวมถึง นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็จะสัมผัสได้
สัมผัสได้ว่าไม่ง่ายเหมือน “พลังชล”
ต้องยอมรับว่าพรรคพลังชลเป็นพรรคขนาดเล็ก เรียกกันตามสำนวนอันเป็นผลสะเทือนจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 ว่าเป็นพรรคระดับจังหวัด
เลือกตั้งล่าสุดเมื่อปี 2554 ก็ได้มา 7 หน่อ
เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพรรคชาติไทยพัฒนา เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนที่พรรคภูมิใจไทยมีอยู่ในมือ
สุโขทัย และฉะเชิงเทรา นครราชสีมา อาจ “โดน”
แต่หากได้ยินบทสรุปทั้งจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล และ นายวราวุธ ศิลปอาชา ว่า เรื่องจะร่วมหรือไม่ร่วมสมควรพูดภายหลังการเลือกตั้ง
เท่านี้ก็จบแล้วว่า 2 พรรคนี้คิดอย่างไร
หากถือว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เส้นทางไปยังเป้าหมายนั้นก็มีเวลาอีก 1 ปี กว่าจะรู้ว่าหมู่หรือจ่า
นี่มิได้เป็นเส้นทางของพรรคการเมืองด้านเดียว
ตรงกันข้าม ยังเป็นเส้นทางของคสช. และยังเป็นเส้นทางของ “พรรคคสช.” ว่าจะออกหัว หรือออกก้อยกันแน่ในสนามเลือกตั้ง
เพราะว่าผลอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน
ไม่ว่าโฉมของ “พรรคคสช.” จะออกมาอย่างไร เป็นการรวมซุ้มจากชลบุรี ซุ้มจากฉะเชิงเทรา ซุ้มจากสุโขทัยเข้ามาในแบบไหน
ที่สุดแล้วจำนวน ส.ส.ต่างหากคือ “คำตอบ”
การอ่านแต่ละพรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องดูองค์ประกอบ 2 องค์ประกอบประสานเข้าด้วยกัน 1 องค์ประกอบของ “พรรคคสช.” ว่าจะได้รับคะแนนและความนิยมอย่างไร
และ 1 คือ คะแนนและความนิยมของแต่ละพรรค
หากคะแนนและความนิยมของ “พรรคคสช.” ไม่ได้อยู่ในลักษณะอันเป็น “ขาขึ้น” ตรงกันข้าม กลับรูดลง รูดลง และมี ส.ส.อยู่ในมือเพียงน้อยนิด
ตอนนั้นแหละจะเป็น “คำตอบ” สุดท้ายในทางการเมือง