หากดูอย่างเผินๆ หากมองอย่างผาดๆ คล้ายกับว่า ปรากฏการณ์อันมาจากทีมงานรองนายกรัฐมนตรีต่อกรณีของ นายเสนาะ เทียนทอง จะเป็นปรากฏการณ์อย่างชนิดที่เรียกกันว่า

มือสั่น หรือ “ปืนลั่น” อย่างไม่ตั้งใจ

เริ่มจากคนของรองนายกรัฐมนตรีเดินทางไปอวยพรเนื่องในเทศกาลปีใหม่ไทยคือตรุษสงกรานต์ที่บ้าน นายเสนาะ เทียนทอง แล้วก็คุยกันในเรื่อง “รัฐบาลแห่งชาติ”

แล้วก็โยงระหว่าง 30,000 ที่บุรีรัมย์ กับ 50,000 ที่สระแก้ว

เมื่อบรรดาลูกๆ และหลานๆ ของ นายเสนาะ เทียนทอง เรียงหน้ากระดานกันออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขันเรื่องก็ค่อยๆ เงียบหายไป

พร้อมกับการไม่ไปสระแก้วของ “นายกรัฐมนตรี”

ไม่รู้สึกแปลกใจกันหรือไม่ว่า ทำไมต้องเป็นคนระดับ “ที่ปรึกษา” และก็ทำงานอย่างใกล้ชิดแนบแน่นอยู่กับ “รองนายกรัฐมนตรี”

แนบแน่นตั้งแต่หลัง “รัฐประหาร”

อย่าลืมเป็นอันขาดว่า “ที่ปรึกษา” คนนี้มิได้ดำรงอยู่อย่างปกติธรรมดา หากแต่ยังเป็นนักเขียนเป็นคอลัม นิสต์อยู่ในสื่อหนังสือพิมพ์ที่เป็นกองเชียร์คสช.และรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

เป็นบทบาทในการโยนหินถามทาง

ไม่เพียงแต่สะท้อนความคิดของตนเอง ตรงกันข้าม ยังสะท้อนความต้องการของคสช. ความต้องการของรัฐบาล

เป็นบทบาทเดียวกับ “ฤๅษีเกวาลัน” จากเทือกเขาหิมาลัย

การเคลื่อนไหวในกรณีสระแก้วครั้งนี้แม้ว่าจะไม่ประสบผลสำเร็จกระทั่ง “นายกรัฐมนตรี” ต้องเปลี่ยนแผนอย่างกะทันหัน

แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังดำรง “เป้าหมาย” อยู่อย่างไม่แปรเปลี่ยน

การเกาะติด นายเสนาะ เทียนทอง ยังดำเนินต่อไป เพราะว่าวีรกรรมหาญกล้าของ นายเสนาะ เทียนทอง ทรงความหมายอย่างยิ่งต่อ “พรรคคสช.”

หากสามารถดึง นายเสนาะ เทียนทอง ออกจาก “เพื่อไทย” ได้สำเร็จ

นั่นหมายถึงพิมพ์เขียวจากกรณีพรรคความหวังใหม่จะหวนกลับมาอีก เหมือนๆ กับเมื่อแรกมีการจัดตั้งพรรคไทยรักไทยเข้าสู่สนามเลือกตั้งในปี 2544

ความเป็นจริงนี้ยังเป็น “ฝันหวาน” ของ “พรรคคสช.” อยู่

คำถามต่อประเด็นนี้มิได้อยู่ที่ว่า นายเสนาะ เทียนทอง จะคิดอย่างไรเท่านั้น หากแต่ยังอยู่ที่ว่าพรรคคสช.จะสำแดงความมุ่งมั่นอย่างไรอีกด้วย

กระนั้น กล่าวสำหรับ นายเสนาะ เทียนทอง ก็ไม่เหมือนเดิม

ไม่เหมือนเมื่อตอนที่อยู่กับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ไม่เหมือนเมื่อตอนที่อยู่กับ นายบรรหาร ศิลปอาชา และไม่เหมือนเมื่อตอนที่อยู่กับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

บทเรียนจาก “พรรคประชาราช” ยังตามหลอกหลอนอยู่ไม่จางหาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน