หากไม่มีคำว่า “ขอโทษ” พร้อมกับตำหนิไปยัง “ตำรวจ” ต่อกรณีการรุกเข้าไปรวบตัว นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ จากวัดอ้อน้อย นครปฐม
คงไม่มีข้อร้องเรียนให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44
เพื่อจัดการย้าย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ออกจากตำแหน่งผบ.ตร.และดำเนินการลงโทษฝ่ายอำนวยการที่กำหนดยุทธวิธีอันเกิดขึ้น
เพราะว่าคำ “ขอโทษ” มาจาก 2 จุดสำคัญ
จุด 1 คือ จากทำเนียบรัฐบาล และจุด 1 คือ กระทรวงกลาโหม และที่ไม่ควรมองข้ามก็คือสถานะอันดำรงอยู่ใน “คสช.”
มีแต่หัวหน้าคสช.เท่านั้นที่ใช้ “มาตรา 44” ได้
ข้อร้องเรียนอันเกิดขึ้นเป็นความต่อเนื่องจากสถานการณ์ 2 สถานการณ์ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันอย่างแนบแน่น
นั่นก็คือ ปฏิกิริยาจากเครือข่าย
เป็นเครือข่ายอันมีความรัก ความเคารพ ต่อ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในห้วงแห่งการต่อสู้ร่วมกันก่อนรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
ปฏิกิริยาจากเครือข่ายนี้เองนำไปสู่คำ “ขอโทษ”
เมื่อลักษณะจาก 2 ส่วนนี้ประสานเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ความคิดในการเรียกร้องให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ต่อผบ.ตร.จึงบังเกิด
เป็นการเตือนให้หลาบจำและอย่าได้บังอาจทำขึ้นอีก
ถามว่าอยู่ๆ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แม้ว่าจะดำรงตำแหน่งเป็นผบ.ตร.จะสามารถคิดเอง ทำเองตามอำเภอใจได้หรือไม่
ตอบได้เลยว่า ไม่
ยิ่งในกรณีของ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ ยิ่งมากด้วยความละเอียดอ่อน เพราะบทบาทของเขาในห้วงก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เป็นอย่างไร
มีใครไหนบ้างที่ไม่รู้ ที่ไม่เคยเห็น
การปฏิบัติของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา จึงต้องดำเนินการไปตามพยานหลักฐานอันเป็นที่ประจักษ์
และที่สำคัญก็คือ ทำตามคำสั่งของ “ผู้บังคับบัญชา”
เรื่องที่วิปริตบิดเบี้ยวจากกรณีของ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อันเห็นและเป็นอยู่ขณะนี้จึงเป็นเรื่องอันเนื่องแต่อิทธิพลของ นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ อย่างเป็นด้านหลัก
เป็นอิทธิพลที่มีต่อ “บางส่วน” ภายในกลไก “อำนาจรัฐ”
เป็นอิทธิพลที่สะสมกำลังตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
และมาสำแดงออกในเดือนพฤษภาคม 2561 อย่างเด่นชัด