แม้พรรคประชาธิปัตย์จะสำแดงอาการละล้าละลัง เหยียบเรือสองแคม ในประเด็นอันเกี่ยวกับการรื้อปรับแก้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ซึ่งผลักดันมาจากพรรคอนาคตใหม่
แต่ดูเหมือนพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา เอาด้วย
แม้กระทั่ง พรรคภูมิใจไทยซึ่งถูกมองว่าแนบแน่น ใกล้ชิดอยู่กับคสช. แต่ก็มีหลักการอันเด่นชัดว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้
หากประชาชนแสดง “ฉันทานุมัติ” เด่นชัด
ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมีบทสรุปอย่างไร แต่เชื่อได้เลยว่าสถานการณ์การหาเสียงเลือกตั้งที่จะมีภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เรื่องของ “รัฐธรรมนูญ” จะเป็นประเด็น
เป็นประเด็นร้อน เป็นประเด็นใหญ่
จากเรื่องของรัฐธรรมนูญก็ย่อมจะโยงสายยาวไปยังรากฐานและความเป็นมาของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ไล่กันครบถ้วนกระบวนความ
เพราะหากไม่ครบ ชาวบ้านก็อาจจะไม่เข้าใจ
นั่นก็คือ คำถามในทางการเมืองที่ว่าทำไมต้องมีการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ทำไมต้องมีการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
คำตอบมีคำตอบเดียว เพราะ “รัฐประหาร”
ทั้งๆ ที่มีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 คือ ผลิตผลจากรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 แต่ยังมีรัฐประหารอีกในเดือนพฤษภาคม 2557
ตรงนี้แหละคือประเด็น ตรงนี้แหละสำคัญ
ไม่ว่าคสช.จะมีวาระของตนเองอย่างไร ไม่ว่าคสช.จะจัดตั้งเครือข่ายวางสายเพื่อการสืบทอดอำนาจของตนเองผ่านพรรคการเมืองใด
แต่ “รัฐธรรมนูญ” จะเป็นเนื้อหาใจกลาง
คำถามที่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 หรือไม่จะกลายเป็นประเด็นร้อนที่ทุกพรรคการเมืองจักต้องอธิบายและทำความเข้าใจ
ทำไมต้องรักษาเอาไว้ ทำไมต้องแก้ไข
มองจากผู้จัดเจนทางการเมืองอาจเห็นว่าไม่น่าจะปลุกขึ้น แต่ขอให้ติดตามต่อไปก็แล้วกันว่าความพยายามของพรรคอนาคตใหม่เมื่อได้รับการสนองรับจากพรรคเพื่อไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาจะประสบความสำเร็จหรือไม่
ท่าทีอันมาจากพรรคประชาธิปัตย์คือความรู้สึกละล้าละลัง ท่าทีอันมาจากคสช.คือ การไม่ยินยอมพร้อมใจอย่างเด็ดเดี่ยว
แต่เมื่อเรื่องนี้เสนอเข้าสู่ “การเลือกตั้ง”
คะแนนและความนิยมต่อแต่ละพรรคการเมืองจึงสัมพันธ์อยู่กับเรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องรัฐประหารอย่างมิอาจจะปฏิเสธได้
คำตอบอยู่ในการตัดสินใจของประชาชน