พลันที่พรรคประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย ปรากฏตัวขึ้น ก็ก่อให้เกิดการแยกจำแนกระหว่างกลุ่ม และพรรคการเมืองที่แวดล้อมคสช.โดยพื้นฐาน
สังคมเริ่มมองเห็นระยะห่างของแต่ละพรรคมากขึ้น
พรรคประชาชนปฏิรูป พรรคพลังชาติไทย พรรคทางเลือกใหม่ พรรคพลังธรรมใหม่ เริ่มถอยไปยืนอยู่วงนอก
น้ำเสียงเริ่มแปลกแปร่ง
พรรคประชาชนปฏิรูปอาจยังคงยืนหยัดในการชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่พรรคพลังธรรมใหม่เริ่มตั้งข้อสังเกตและเริ่มวิพากษ์รัฐบาล
ยิ่งใกล้เดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะยิ่งชัด
เหมือนกับว่าการเกิดขึ้นของพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมพลังประชาชาติไทย จะเป็นการแบ่งหน้าที่ในท่วงทำนองแบบ “แยกกันเดิน”
นั่นก็คือ พรรคพลังประชารัฐ “ดูด” อย่างโดดเด่น
บทบาทของ ซุ้มสุโขทัย บทบาทของ ซุ้มฉะเชิงเทรา รับรู้กันมาอย่างยานานตั้งแต่อยู่พรรคสามัคคีธรรม พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย แล้วว่าเก่งในด้านไหน
นี่ย่อมแตกต่างไปจากพรรครวมพลังประชาชาติไทย
พรรครวมพลังประชาชาติไทยผนึกความจัดเจนจากพรรคประชาธิปัตย์ เข้ากับกปปส.และเข้ากับความจัดเจนจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
มีสีสันในแบบ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์
ผลสะเทือนจากการเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐเมื่อประสานเข้ากับพรรครวมพลังประชาชาติไทยก็สร้างจุดต่างอย่างเด่นชัด
2 พรรคนี้เป็น “วงใน” ของ “คสช.” มากกว่า
เห็นได้จากพลัง “ดูด” ของพรรคพลังประชารัฐใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นกองบัญชาการ เห็นได้จากการขับเคลื่อนของพรรครวมพลังประชาชาติไทยรวดเร็ว ฉับไว
เพียงขยับก็สามารถเปิดประชุมใหญ่ได้
ในอีกด้านหนึ่งจึงเท่ากับค่อยๆ กันพรรคประชาชนปฏิรูป พรรคพลังชาติไทย พรรคทางเลือกใหม่ และรวมทั้งพรรคพลังธรรมใหม่ให้กลายเป็น “วงนอก”
เพียงไม่กี่วัน “คสช.” ก็มองออก อ่านแตก
การมองออก แทงทะลุจะสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรมไม่เพียงแต่การจับตาดูการเติบใหญ่ขยายตัวในด้านของสมาชิก หากที่สำคัญก็คือเงินทุน
ที่คุยว่าจะส่งลง 350 เขตทำได้หรือไม่
ยากเป็นอย่างยิ่งที่พรรคการเมืองเหล่านี้จะสามารถทำได้หากไม่ได้รับเงินทุนอันเหมือนกับ “ท่อน้ำเลี้ยง” มาจากศูนย์กลางแห่งอำนาจ
นี่จึงต่างจากพลังประชารัฐ และรวมพลังประชาชาติไทย