หากการลงความเห็นในลักษณะ “ฟันธง” ว่า พรรคเพื่อไทยจะได้รับการเลือกตั้งอย่างชนิดถล่มทลายในพื้นที่ภาคอีสานเป็นเหตุนำไปสู่การเสนอยุบพรรค
คำวินิจฉัยจาก “กกต.” เช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องแปลก
หรือแม้กระทั่งความเห็นของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ประเมินว่าการดูดอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนจะนำไปสู่โอกาสของ “คนรุ่นใหม่”
ก็จะกลายเป็นการเข้าไปแสดงบทบาทเพื่อครอบงำ
ไม่ว่าใครก็ตามที่มีส่วนในการผลักดันเพื่อให้มีการตรวจสอบและใช้มาตรา 28 และ 29 จากพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 เพื่อยุบพรรคเพื่อไทย
สะท้อนให้เห็นมุมมองที่น่าวิตกในทางการเมือง
ความน่าวิตกต่อความเห็นเช่นนี้สะท้อนให้เห็นปมแห่งความขัดแย้ง แตกแยกในทางความคิดที่ดำรงอยู่อย่างลึกซึ้ง ฝังแน่นในสังคมไทย
เข้าลักษณะผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ
ความเห็นเช่นนี้แหละที่ดำรงอยู่อย่างหนาแน่นในห้วงก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 และมาปะทุอีกครั้งในห้วงก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
นี่คือพลังตกค้างในทางการเมือง ในทางประวัติศาสตร์
เพียงแค่ได้ยินเสียงของบางคนก็หงุดหงิดและทำอะไรไม่ถูกแล้ว มองเห็นอะไรขวางหูขวางตาก็พร้อมที่จะปัดทิ้งและทุบทำลาย
นี่แหละคืออาการของบางคนที่มีต่อพรรคเพื่อไทย
อาจเป็นเพราะคิดเช่นนี้เองจึงทำให้เกิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่วิปริตผิดเพี้ยน เกิดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่จะนำไปสู่ปัญหาและความยุ่งยาก
ประกาศและบังคับใช้มาแล้วก็ยังไม่ยอมให้ปฏิบัติ
กระทั่งงอกคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 53/2560 ออกมาเพื่อแก้ไขและเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติอันอยู่ในพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ
และจำเป็นต้องมีการประชุม หารือ กันครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อหาทางออก
ทั้งๆ ที่รู้ว่า ปัญหามีต้นตอมาจากไหนและจะแก้ได้ก็ต้องตัดตัวทุกข์หรือตัวปัญหาออกไปตามหลักแห่งอริยสัจขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่สามารถทำได้
เพราะมีจุดเริ่มต้นมาจากความเกลียด ความกลัว
นับแต่มีการประกาศและบังคับใช้รัฐธรรมนูญเมื่อเดือนเมษายน 2560 นับแต่มีการประกาศและบังคับใช้พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองเมื่อเดือนตุลาคม 2560
ตราบจนบัดนี้ก็ยังมีปัญหาเกี่ยวกับ “พรรคการเมือง”
ตราบจนบัดนี้ก็ยังไม่คลายล็อกให้กับพรรคการเมือง ยังมีประกาศและคำสั่งอันมาจากคสช.ที่วางตัวเหนือรัฐธรรมนูญ วางตัวเหนือพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองอยู่
รู้อยู่เป็นอย่างดีว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แต่ไม่ยอมแก้